เรื่องนี้เกิดขึ้นกับฉันตอนช่วงเดือนธันวาคม ปี 2544 แต่ยังขนหัวลุกอยู่ทุกครั้งที่ฉันไปเที่ยวต่างจังหวัดและต้องพักค้างคืนในโรงแรมต่างถิ่น เรื่องมีอยู่ว่า......
บริษัทฯของฉันมีนโยบายจัดไปเที่ยวปีใหม่ทุกปี เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้พนักงาน ซึ่งพนักงานในบริษัทฯ มีไม่มากเท่าไร จึงสามารถชักชวนคนในครอบครัวไปด้วยได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ และพร้อมกับจ่ายเงินเดือนและโบนัสแก่พนักงานในคราวเดียวกัน โดยปีนี้เราตกลงกันว่าจะไปเที่ยวพัทยา โดยเราไปเป็นรูปแบบกลุ่มทัวร์ ทางบริษัททัวร์ (ขอไม่เอ่ยนาม) เขาจะมีโปรแกรมให้เรียบร้อยทั้งข้าวปลาอาหารและสถานที่ท่องเที่ยว ตลอดจนที่พักค้างแรม จัดว่าคุ้มทีเดียว แต่โหดมากสำหรับการพักผ่อน โดยเราเริ่มเดินทางกันในเช้าวันเสาร์ ประมาณ 06.00 น. เมื่อทุกคนขึ้นรถเรียบร้อย เช็คจำนวนทั้งหมดได้เพียง 13 คน ซึ่งผิดคาดมากเนื่องจากตอนแรกนับไปนับมาได้เกือบ 30 คน ไม่รู้เพราะเหตุใดจะเป็นเพราะดวงหรือโชคที่เขาเหล่านั้นไม่ต้องเผชิญสิ่งน่าสะพึงกลัวกับเราก็ได้ เราค้างคืนเพียงหนึ่งคืนเท่านั้น ก็ไม่คิดว่าระยะเวลาแค่ 8 ชั่วโมง หรือคืนนั้นจะทำฉันขนหัวตั้งและทำเอาฉันแทบจับไข้ได้เหมือนกัน
เราเริ่มออกเดินทาง ประมาณ 07.30 น. และการเดินทางของพวกเรานั้นเป็นไปอย่างสนุกสนานเฮฮา มีการร้องรำทำเพลง และโยกย้ายส่ายสะโพกกันอย่างเมามันส์ แล้วเราก็มาถึงสถานที่พักเกือบ 6 โมงเย็น เพราะ แวะเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวด้วย แต่ส่วนใหญ่เราจะเที่ยวกันแบบทรหดทั้งสิ้น เพราะสถานที่เที่ยวส่วนมากจะเดินชมนกชมไม้เป็นส่วนใหญ่ พวกเราจึงเหนื่อยและอ่อนเพลียมาก หลังจากที่เสร็จสิ้นโปรแกรมเที่ยวภายในวันเสาร์แล้ว ทางกรุ๊ปทัวร์ก็พาเราเข้าพักในโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่ง (ไม่ขอเอ่ยชื่อ) แถวชานเมืองพัทยาซึ่งเขตที่เราเข้าพักไม่ติดกับทะเลต้องเดินต่อด้วยเท้าประมาณเกือบ 1 กิโลเมตร จึงจะถึงชายหาด ตึกที่เราเข้าพักนั้นเรียกกันว่า ตึกการ์เด้น จะไม่มีระเบียงห้องตัวอาคารติดกับสระน้ำด้านหน้าโรงแรม ค่อนข้างเงียบวังเวงมีคนเข้าพักน้อย ทั้งๆที่เป็นช่วงปีใหม่ เราทั้งหมดได้พักอยู่ในโซนเดียวกันห้องเรียงกันทั้งหมด 7 ห้อง พักกันอยู่ที่ชั้น 3 ของตึกด้านสระน้ำหน้าโรงแรม
ในค่ำวันนั้นทางผู้บริหารของบริษัทฯ ก็จัดงานเลี้ยงเล็กๆให้พนักงานมีการจับสลากของขวัญ แจกโบนัส เงินเดือน กว่าจะได้เข้านอนก็เกือบห้าทุ่มแล้ว พวกเราส่วนใหญ่ก็เหนื่อยอ่อน หมดเรี่ยวหมดแรง จากการเที่ยวและงานเลี้ยง จึงแยกย้ายกันเข้านอนตามห้องตามเบอร์ที่ได้กุญแจ โดยฉันและพวกอีก 3 – 4 คนยังไม่สะใจและคิดว่า ”ราตรีนี้อีกยาวนาน ใช่...มันยาวนานจริง ๆ” จึงตกลงกันว่าเดี๋ยวพออาบน้ำเสร็จลงมาเจอกันที่ล็อบบี้ข้างล่าง เพื่อไปเที่ยวเธคของโรงแรมต่อ....
พอทุกคนลงมาเจอกันที่ล็อบบี้ด้านล่างก็ออกเดินตามตึกของโรงแรมเพื่อหาเธคหรือผับกัน เราออกเดินหาเธคกันตั้งแต่ ห้าทุ่มเศษ จนปาเข้าไปเที่ยงคืนครึ่งก็หาเธคไม่เจอเลยตัดสินใจถามรปภ.มาเธคอยู่ไหน เขาทำหน้างงและบอกกับเราว่า “ เธคปิดไปนานแล้วครับเพราะไม่ค่อยมีคนมาเที่ยวเลยต้องปิดตัวลง ส่วนใหญ่เขาจะเข้าไปเที่ยวในตัวเมืองพัทยากันหมด”
พอได้คำตอบเราก็ต้องผิดหวังเดินคอตกกลับมาที่ห้องพัก โดยไม่ได้เอะใจอะไร แต่ในช่วงขากลับมันไม่เหมือนช่วงขามา คือมันวังเวงและมืดจนน่ากลัวกว่าปกติ เราเลยตัดสินเดินคุยกันให้เสียงดังไว้ก่อนและเดินกันแบบหน้ากระดานเรียงหนึ่ง แล้วเพื่อนสาวปากเสียที่เมาเหล้านิดๆ ก็ทะลึ่งพูดว่า “เนี่ย ....ถ้าเดิน ๆ อยู่แล้วมีคนเกินมาจะทำไง “ เท่านั้นแหละพวกเราขนลุกเกรียว จึงต่อว่ากลับไปเพื่อให้หยุดความปากเสียของเจ้าหล่อน ว่า “ไอ้ปากเสียนี่ ไป ๆ รีบเดินเข้าเดี๋ยวก็ถึงห้องแล้ว พูดอย่างงี้ .... เดี๋ยวเขาก็มาเดินด้วยจริงๆหรอก”
พอถึงชั้น 3 เราก็แยกย้ายเข้าห้องตามปกติ โดยฉันเข้าพักกับเพื่อนสาวที่สนิทกันเนื่องจากเข้าทำงานพร้อมกัน ก็ผลัดเปลี่ยนกันอาบน้ำและเข้านอนกันตามปกติ โดยเตียงนอนภายในห้องพักนั้นเป็นเตียงคู่ จึงตกลงแบ่งเตียงนอนกัน แล้วก่อนนอนฉันจะเปิดโคมไฟปลายเตียงที่วางคู่กันตรงโต๊ะกระจกไว้ 2 ดวง ก็นอนหลับกันตามปกติ นอนเพียงครู่ก็ต้องตกใจตื่นลืมตาโพลน เพราะโทรทัศน์และเสียงพูดคุยกันเป็นภาษาอีสานอย่างสนุกสนานดังลั่นมาจากหัวนอน คือทางโรงแรมเข้าจะจัดหัวเตียงของแต่ละห้องให้หันมาชนกันเป็นคู่ๆ ซึ่งหัวนอนของห้องฉันจะติดกับห้องรุ่นพี่ผู้หญิงอีกสองคน ซึ่งพักอยู่ด้วยกันในห้องถัดไปและเขาทั้งคู่ก็เป็นคนพื้นเพอีสานด้วยกัน ฉันเองยังนึกตำหนิอยู่ว่า “ดึกขนาดนี้แล้วยังมีกะใจคุยกันอีก.....เอาเรี่ยวแรงมากจากไหน” จากนั้นฉันก็ข่มตาหลับต่อและก็เกิดเรื่องประหลาดอีกนอนได้ไม่ถึง 20 นาที ก็ต้องตกใจตื่นเมื่อบัดดี้ของฉันกระโจนมาซุกตัวที่เตียงนอนของฉันและกระซิบข้างหูว่า “ขอนอนด้วยคนนะ ไม่รู้มีใครมาหัวเราะข้างหูเรา “ พอได้ฟังอย่างนั้นก็ทำใจดีสู้เสือตอบไปว่า “เอ่อๆ แกนี่ถ้าจะบ้า แปลกที่เหรอ ? นอนๆ ซะ “ แต่ในใจมันสั่นๆบอกไม่ถูกก็ข่มตาหลับอีก
ทีนี้ค่อยอุ่นใจหน่อยหลับได้แล้วมีเพื่อนระวังหลังให้ เพราะก่อนหน้าที่บัดดี้ของฉันจะกระโจนมานอนด้วยนั้น ไฟและแอร์ในห้องก็ติดๆดับ โดยไม่รู้สาเหตุสองครั้งสองครา โดยฉันเองก็นึกปลอบใจตังเองว่า “คงเป็นความหวังดีของโรงแรมที่มีการตัดแอร์เมื่ออุณหภูมิต่ำหรือถึงจุดตัดไฟมั้ง “ เป็นการประหยัดไฟฟ้าและก็คงเหตุผลเดียวกันซึ่งเป็นการดับของโคมไฟด้วยกระมัง พอหลับตานอนได้สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น “กริ๊ง....กริ๊ง....” เราก็สะดุ้งโหย้งเลยแล้วก็รวบรวมสติรับสายโทรศัพท์ เวลาตอนนั้นก็ประมาณ 02.50 น.แล้ว “ฮัลโหล ใครคะ “ ในสายโทรศัพท์ก็พูดขึ้นว่า “พี่นอมเองจ้ะ ทำไมยังไม่นอนกันอีกคุยอะไรกัน ? หัวเราะลั่นเลยนะ แล้วก็เปิดทีวีเสียงดังมากเลย ....เบา ๆหน่อยนะ พวกพี่นอนไม่หลับน่ะ หรี่เสียงหน่อยนะ “ เท่านั้นแหละเรากับบัดดี้ก็รู้ทันที่ว่าเกิดอะไรขึ้น ? “เพราะเราทั้งคู่นั้นมุดอยู่แต่ใต้ผ้าห่มกอดกันกลมอยู่แล้วใครจะมีกระจิตกระใจหัวเราะต่อกระซิกกันได้ แถมยังมานั่งดูทีวีตอนตี 3 เนี่ยนะไม่มีทาง” เราทั้งคู่ก็เลยเล่าเรื่องประหลาดและต่อว่าพี่ๆ ว่าเราต่างหากที่เป็นฝ่ายได้ยินเสียงพวกพี่คุยกัน พวกพี่ก็ว่าเรา ว่า “จะบ้าไงล่ะพี่เหนื่อยกันจะแย่จะมานั่งคุยกันได้ไง ?.... ต่างคนต่างนอนกันตั้งแต่ห้าทุ่มเศษ ๆ ได้มั้ง” ต่างฝ่ายต่างงง ๆ และก็วางสายไป ฉันและบัดดี้ก็ล้มตัวลงนอนแต่คราวนี้เราตัดสิ้นใจปิดไฟและปิดแอร์ เพราะจะได้ไม่ต้องกังวลถึงการตัดไฟฟ้าของทางโรงแรมอีก นอนได้แค่ครู่ดียวเสียงสัญญาณปลุกหรือเสียงความถี่แบบต่ำๆอะไรซักอย่างนี่แหละก็ดังขึ้น” ออดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด” ดังขึ้นจนฉันและเพื่อนปวดหูไปหมด เราก็หาทางปิดมันไม่ได้เลยตัดสินวิ่งออกไปด้านนอกเพื่อดูว่าห้องอื่นเป็นแบบเราไหม ? แต่ก็ต้องประหลาดใจว่าเสียงนั้นมันดังมากๆ เหมือนเสียงตื่นไฟไหม้หรือเตือนอะไรซักอย่าง “ ดังขนาดนี้...ยังไม่มีใครได้ยินไม่เห็นมีใครวิ่งออกมาแบบเราทั้งคู่เลยนี่นา” ฉันเลยวิ่งเข้าไปในห้องและโทรศัพท์ไปยังโอเปอร์เรเตอร์ เพื่อให้ตามช่างมาปิดเสียงบ้า ๆ นี่ที ครู่ใหญ่....ที่เสียงนี้มันทำลายประสาทเราจากความกลัวมาเป็นความโมโหแทน ทางโรงแรมก็ตามช่างให้เป็นพ่อบ้านในกะกลางคืนของทางโรงแรม ตัวสูงใหญ่มากหน้าตาซีดขาว และนิ่งมาก ๆ พอเขาเดินมาเจอฉันที่หน้าห้อง เขาไม่พูดอะไรซักคำเดินเข้าไปในห้องแล้วเขาก็เอื้อมมือไปทำอะไรซักอย่างที่หัวนอน แล้วเสียงนั่นก็เงียบลงทำให้ฉันและเพื่อนโล่งใจได้ระดับหนึ่ง แล้วเขาก็รีบเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรซักคำเดียวอีกเช่นเคย ฉันยังนึกตำหนิในใจว่า “แหม... จะขอโทษซักคำก็ไม่มี” แล้วฉันก็เดินเข้าไปนอนตามเดิม เวลาตอนนั้นก็ประมาณ 04.30 น. กว่าเรื่องราวจะจบก็เกือบเช้าที่ฉันและเพื่อนจะได้นอน พอ 06.30 น.คนของทางบริษัททัวร์ก็โทรมาปลุกให้ไปทานอาหารเช้า “ ตี๊ด....ตี๊ด....” แต่เสียงปลุกครั้งนี้มันเป็นเสียงโทรศัพท์ธรรมดา ไม่ใช่เสียงแบบเมื่อคืน ฉันกับเพื่อนก็แต่งตัวและเก็บข้าวของลงไปข้างล่าง โดยไม่รอเวลาเช็คเอ้าท์เลย สรุปว่า ฉันและบัดดี้ก็ไม่ได้นอนกันทั้งคืน พอลงมาข้างล่างเราก็นั่งทานอาหารเช้ากันตามปกติ และฉันกับเพื่อนก็ถามทุกคนว่าเจออะไรบางไหมเมื่อคืนนี้ ทุกคนก็ทำหน้าตาแปลก ๆ และก็เล่าเรื่องแปลกให้เราฟังเช่นกัน ฉันและบัดดี้ก็เล่าเรื่องแปลก ๆ ให้ฟังเช่นกัน สรุปโดยย่อๆ ว่า “โดนทุกห้อง” อาทิ เช่น โดนเขย่าเตียงนอน เสียงชักโครกและเปิดฝักบัวอาบน้ำ และเสียงพูดคุยกันแต่เป็นภาษาที่เราไม่รู้จัก แต่เป็นภาษาที่คล้ายๆกับพวกข้างล่างที่นั่งทานอาหารเช้าด้วยกันนี่แหละ ซึ่งเขาเหล่านั้นเป็นชาวมาเลเซียบ้าง ฟิลิปปินส์บ้าง เกาหลีบ้าง คือชาวเอเชียนี่แหละ พอฉันซักไซร้ไล่เรียงพวกไกด์ที่นำเที่ยว และพนักงานโรงแรม ก็ได้ความว่า
เมื่อหลายปีก่อน โรงแรมแห่งนี้เกิดเพลิงไหม้ และด้วยตัวตึกนี้เป็นตึกเก่าที่ยังไม่ได้ซ่อมแซมจึงมีการทรุดตัวของตึกบางส่วนลงมาอย่างรวดเร็ว จึงทำให้นักท่องเที่ยวตายจำนวนมาก ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวแทบเอเชีย เท่านี้ฉันก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง อาจจะมาจากเพื่อนปากบอนของฉัน หรือดวงวิญญาณตายโหงอย่างทรมานก็เป็นได้ ต่อมาฉันมารู้ภายหลังว่า โรงแรมนี้เป็นโรงแรมที่เกิดไฟไหม้และครอกนักท่องเที่ยวชาวเอเชียตายมากกว่า 20 ศพแต่เขาช่วยกันปิดข่าว แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีการเสนอข่าวแต่ไม่มีการให้รายละเอียดว่าเพลิงลุกไหม้ได้อย่างไร ?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น