เรื่องนี้เกิดเมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้วค่ะ ตอนนั้นเรียนอยู่ปี 4 ที่มหาวิทยาลัย ในภาคอิสาน พักอยู่หอพักข้างมหาลัยคนเดียว กิจกรรมโปรดที่ชอบทำด้วยกันกับเพื่อนๆ ที่คณะ (ซึ่งบางทีก็อยู่ค้างที่ studio ด้วยกัน) ก็คือขี่มอเตอร์ไซค์ไปดูหนังรอบเที่ยงคืนในเมือง
ในฝัน หลังจากดูหนังรอบเที่ยงคืนแล้ว เลิกประมาณตี 2 ขี่มอเตอร์ไซค์กลับหอคนเดียว จากถนนใหญ่สามารถไปหอได้ 2 ทาง ทางแรกเข้าซอยประมาณ 300 ม. ทางที่ 2 อ้อมหน่อย คือต้องเข้าในโรงพยาบาล (ของมหาลัย) ทะลุเข้ามาในรั้วมหาลัย แล้วออกนอกนอกรั้วอีกทาง ก็จะถึงหอ .. ทำไมก็ไม่รู้ เลือกไปทางที่อ้อม ในฝันก็ถามตัวเองงงๆ ว่าทำไมเลือกมาทางนี้เนี่ย ...บ้าไปแล้ว.... แต่ก็เลยตามเลย ไหนๆก็มาทางนี้แล้ว (ขอบอกก่อนว่ารู้ตัวตลอดว่าตัวเองฝันอยู่)
ขี่มาจนใกล้ถึงทางเชื่อมตึก ลักษณะเป็นทางคนข้ามเหมือนสะพานลอย เชื่อมระหว่างตึกคณะแพทย์ กับอาคารคลังเลือดกลาง ซึ่งอาคารคลังเลือดกลางนี้มีกิตติศัพท์เรื่องน่ากลัวมานาน เพราะชั้น 2 เป็นที่ตั้งของห้องเก็บและชันสูตศพ ช่วงเวลาพีคๆ ที่เจอกันบ่อยๆ คือเที่ยงคืนกับตี 2 เวลาขี่รถกลางคืนก็จะเลี่ยงทางนี้
พอเข้ามาใกล้จะลอดใต้ทางเชื่อม ก็มองเห็นรถกระบะคันหนึ่งจอดอยู่ฝั่งคลังเลือด และมีผู้ชายรูปร่างอ้วน ใส่เสื้อลายขวางยืนอยู่ข้างรถ ในใจก็คิดว่า ต้องขี่ให้ชิดอีกทางนึงมากที่สุด เพราะไม่รู้ว่าเค้าจะทำอะไรเรารึเปล่า กำลังจะผ่านเค้าไปรถก็หยุด ทั้งๆ ที่ไม่อยากเลย... ไม่สามารถบังคับตัวเองได้ เค้าก็เดินเข้ามา ถามว่า “ห้องเก็บศพอยู่ไหน” ตอนแรกก็ไม่ยอมตอบ กลัวมาก คนปกติที่ไหนจะมายืนรอถามหาห้องเก็บศพตอนตี 2..เราก็ก้มหน้าสตาร์ทรถอย่างเดียว อยากไปให้ไกลๆ จากตรงนี้ แต่ทำยังไงก็ไม่ติด.... พอไม่ตอบ เค้าก็เค้นอีก “ห้องเก็บศพไปทางไหน!!!” ... ด้วยความกลัวและเริ่มโมโห...ก็ตอบๆ ไปว่า “คุณมาพรุ่งนี้เถอะ ถึงคุณไปตอนนี้ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่หรอก” เค้าก็ถามอีก “บอกมาก่อนสิ ว่าห้องเก็บศพไปทางไหน”..... เราทนไม่ไหวแล้ว ....เลยตอบว่า “ก็อยู่ชั้น 2 ตึกนี้แหละ” แล้วรถก็ติด.... รีบบิดเร่งเพื่อจะไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด
รถออกตัวได้นึดนึง....พอที่จะเลยเค้าไปซัก 1 ช่วงคันรถ ก็อยู่นิ่ง ทั้งๆ ที่รถก็ติดดี มือก็บิดเร่งเต็มที่ เหมือนล้อมันฟรี.... ล้อหมุนแต่รถไม่ไป .... มองกระจกเห็นเค้าเอามือจับที่ที่จับหลังเบาะอยู่ “จับ”เฉยๆ ไม่ใช่ “ยื้อ” เหมือนเค้าไม่ได้ออกแรง แล้วก็ยิ้ม... กลัวมากเลยบิดเต็มๆ อีกที รถก็ออกวิ่งเหมือนเดิม... พอออกมาจากตรงนั้นได้ ก็ลองดูกระจกอีก เห็นเค้ายืนยิ้มอยู่ที่เดิม แล้วก็ได้ยินเสียง.... มาจากข้างในหูเราเอง..... เค้าหัวเราะ....หึๆ แล้วพูดว่า “รู้แล้วใช่มั้ย ว่าชั้นเป็นใคร”................โอ้ยย......จะตายเสียให้ได้
ฝันยังไม่จบแค่นั้น หลังจากมาถึงหอแล้ว พอเปิดประตูเข้าห้องได้ รู้สึกว่าเหนื่อยมาก เลยนอนเลย .. ประตูเข้าห้องจะอยู่ปลายเตียง ซึ่งเตียงวางขนานติดผนังกั้นระหว่างในห้องกับทางเดินนอกห้อง นอนได้พักนึงก็ลืมตา เห็นเงาดำๆ เป็นรูปร่างคน เดินทะลุเข้ามาปลายเตียงและนั่งลงบนเตียง.... ตอนนั้นคิดในใจว่ายังจะตามมาอีกเหรอ.... พยายามลุกจะหนี แต่ขยับไม่ได้ .... ไม่ได้อึดอัดเหมือนถูกผีอำ แต่ขยับไม่ได้ อยากร้องเรียกแม่ (มันเป็นสัญชาติญาณคนน่ะค่ะ เวลากลัวที่สุดเรามักจะถึงแม่) ... ปากก็ตะโกนเรียกแม่ แต่ไม่เสียงลอดออกมาเลย รู้สึกเหมือนตะโกนสุดเสียง แต่เงียบ....... น้ำตาก็ไหล... ลองสวดมนต์ก็ไม่หาย คิดในใจว่า นี่มันฝันนี่นา เราฝันอยู่ ทำไมมันเตลิดขนาดนี้เนี่ย.. ตื่นสิไอ้นิด (เรียกชื่อตัวเอง) ตื่นๆ ก็ไม่ตื่น คือตลอดเวลาตั้งแต่แรกรู้ตัวว่ากำลังฝัน เลยนึกถึงเรื่องผีอำที่คนชอบเล่า ว่าพอลองฮึดเฮือกสุดท้ายมักจะหลุด..... เลยลองตั้งสติ....... แล้วก็ ฮึบบ
ครั้งแรกไม่หลุดค่ะ.... เริ่มตั้งสติใหม่ ...คราวนี้ลุกขึ้นมานั่งได้ ...หอบเลย... ค่อนข้างโล่งใจ รีบมองไปรอบๆ.. แต่ดันเห็นตัวเองนอนอยู่ที่เดิม!! ตกใจมากๆ รีบนอนลงไปเหมือนเดิม คิดว่าอะไรเนี่ย...ยังไม่ตื่นอีกเหรอ ฝันซ้อนฝันเหรอ บ้าไปแล้ววว.....ตื่นสิๆ หรือว่าชั้นตายไปแล้วจริงๆ .... คราวนี้ก็ลองใหม่......นึกถึงพ่อแม่ พระพุทธเจ้า ขอให้ช่วยให้ตื่นเสียที...แล้วก็รวบรวมพลัง คราวนี้เป็นเฮือกสุดท้ายจริงๆ .....
คราวนี้สำเร็จ ตื่นจริงๆ ลุกพรวดขึ้นมานั่ง เหงื่อเต็มตัวเลย รู้สึกว่าเหนื่อยมากๆ เหมือนไปเจอมาจริงๆ มันเหมือนไม่ใช่ฝัน เพราะมีสติตลอดเวลา ..เวลาที่คนเราฝัน มักจะรู้สึกร่วมไปในความฝันนั้นด้วย เหมือนเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่มีเราแสดงอยู่ด้วย แต่นี่รู้ตัวตลอดเวลา พอเอาไปเล่าให้เพื่อนฟังตอนเช้า นึกว่าเพื่อนจะหัวเราะ...ปรากฏว่าทุกคนขนลุก คนนึงบอกมาว่า เคยได้ยินว่าการที่เราฝัน หมายถึงจิตเราออกจากร่างไปทำอย่างนั้นมาจริงๆ... แล้วทีมงานคิดว่ายังไงคะ
ออกจะยาวไปหน่อยนะคะ ขอบคุณที่ทนอ่านจนจบ ถึงจะเป็นแค่ฝัน แต่ผ่านมาแล้ว 6 ปียังจำได้แม่นเหมือนเกิดเมื่อคืน...... มันน่ากลัวสำหรับเราจริงๆ ค่ะ....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น