สวัสดีค่ะพี่ๆทีมงานทุกคนเรื่องมีอยู่ว่า....
มีอยู่วันหนึ่งฉันได้ไปเที่ยวที่บ้านแฟน พอดีแฟนฉันทำงานรถไฟเลยต้องนอนบ้านพักรถไฟ ซึ่งเป็นบ้านเรือนเก่าๆ ฉันไปถึงก็มึดแล้ว เลยออกไปกินข้าวด้วยกันแล้วกลับมาก็อาบน้ำแล้วนอนคุยด้วยกันจนถึงเวลาประมาณ
ห้าทุ่มพอได้ฉันกะแฟนก็หลับ พอดีที่นอนเป็นมันเป็นแค่ที่นอนปิ๊กนิค แล้วที่นอนหันหัวไปทางหน้าต่างแล้วข้างๆจะมีหิ้งกุมารอยู่แล้วมีน้ำแดงและขนมวางอยู่แต่ฉันไม่รู้ว่าอะไรแต่ก็ไม่ได้ถาม เราก็นอนหลับไปจนกระทั่งมีเสียงหนึ่งดังขึ้นเหมือนคนกำลังเล่นกะเด็กโดยกระด็อกลิ้นเล่นกัน
แล้วมีเสียงเหมือนคนคุยกัน จนเสียงนั้นมันดังมากตอนแรกนึกว่าฝันไปแต่พอฉันพยายามที่จะเรียกแฟนแต่ฉันไม่สามารถขยับตัวได้เลยพอฉันหันหน้ามาทางแฟน ก็เจอแฟนฉันหันหัวไปทางหิ้งอันนั้น
โดยนอนตัวโค้งในท่าหงายขายังอยู่ที่เดิมฉันก็ตกใจและอยากจะเรียกแฟนมาแต่ไม่สามารถขยับได้แล้วเสียงที่ดังมานั้นก็มันเป็นเสียงที่แฟนฉันมันกำลังกระด็อกลิ้นเล่นฉันเลยไม่รู้จะทำไง
ฉันจึงได้แต่นอนร้องและเลยคิดถึงแต่พระพุทธเจ้าให้ช่วยหนูด้วยโดยสวดมนต์แล้วบอกว่าที่ลูกมานอนไม่ได้ขออนุญาติก็ขอโทษด้วยล่ะกันนะคะ อีกสักครู่ใหญ่ก็ขยับตัวได้ พอขยับตัวได้ก็ได้มาเรียกแฟนพอแฟนตื่นขึ้นมามันก็ถามว่าทำไมมานอนอย่างนี้ได้ไงและอีกอย่างหนึ่งขนมบนหิ้งก็ตกลงมาข้างๆหัวแฟนฉันด้วย ฉันจึงเล่าให้ฟัง เลวานั้นก็ประมาณตีห้าได้
แฟนฉันจึงเล่าให้ฟังว่าเขาได้เลี้ยงกุมารไว้ 1 คน ชื่อน้องจุก และหิ้งนั้นก็เป็นของกุมาร แม่เขาให้มาช่วยคุ้มครองเขา แล้วเขายังเล่าให้ฟังว่าคราวก่อนเพื่อนเขามานอนก็โดนเหมือนกัน เพราะว่าเราไม่ได้บอกน้องจุกน้องแกะ
เขากลัวฉันจะไปแย่งความรักจากพี่เขาไปอ่ะ ฉันเลยไม่ได้นอนต่อ ฉันเลยชวนแฟนออกไปตักบาตรกัน แล้วซื้อของเล่นมาให้น้องเขาด้วยจบแล้วค่ะ
อาจจะไม่สนุกนะคะแต่มันเกิดขึ้นกับตัวฉันเองค่ะ**
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะคะเพราะตอนแรกฉันก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้เหมือนกันค่ะ***
ผี เรื่องผี เรืองสยองขวัญ ประสบการณ์สยอง the Shock FM
วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2551
เรื่องสยอง ใครรับโทรศัพท์
วันนั้นเราไปเรียนที่โรงเรียน แล้วกลับบ้านมาก็ประมาณบ่าย2-บ่าย3อ่ะ
ตอนนั้นพอถึงที่บ้านก็นึกขึ้นได้ว่าลืมของไว้ที่ชั้น 3 ก็เลยวางของทั้งกระเป๋า โทรศัพท์ หนังสือพวกนี้ไว้ที่โซฟาที่ห้องนั่งเล่น แล้วก็รีบวิ่งขึ้นไปเอาของแล้วซักพักเราก็ลงมานั่งดูโทรทัศน์อยู่ข้างล่าง ตอนนั้นก็ยังไม่รู้เรื่องอะไร
ซักพักพี่สาวของเราก็กลับมาถึงที่บ้าน(เราอยู่โรงเรียนเดียวกับพี่สาว) พอซักครึ่งชั่วโมงผ่านไป แฟนของเราก็โทรมาหา ทำเสียงหงุดหงิดโมโหมากเลย เราก็เลยถามว่าเป็นอะไร ตอนแรกเค้าก็บอกว่าเปล่าไม่ได้เป็นอะไร แล้วเค้าก็ถามเราว่าอยู่กับใคร
เราก็เลยบอกว่าอยู่กับใหม่(พี่สาวนั่นแหละ) อยู่กันแค่สองคนเอง เค้าก็ไม่เชื่อ บอกว่าเราโกหก เพราะอะไรรู้มั้ย...เรื่องมีอยู่ว่า ตอนที่เราขึ้นไปเอาของข้างบน แฟนเราเค้าก็โทรมาหาเราพอดี(แต่ตอนนั้นเราไม่รู้งัย) แล้วเค้าได้ยินเสียงคนรับ
เป็นเสียงเด็กผู้ชายสองคนกำลังคุยกันอยู่ เค้าก็ขอสายเรา แต่ไม่มีเสียงคนพูดกับเค้า แต่เค้าก็ยังได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่เหมือนเดิมเค้าก็เลยวางไป พอมาคุยกับเราเค้าก็เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เราก็บอกเค้าว่าบ้าหรอ อยู่กับใหม่ จะมีเสียงผู้ชายได้ยีงไง
เราก็เลยบอกเค้าว่าสงสัยสายมันคงพันกันมั้ง(ทั้งที่ในใจก็เริ่มรู้สึกแปลกๆแล้วแหละ) แล้วผ่านมาได้ซักพัก แม่ของเราก็โทรเข้าที่มือถือพี่ของเรา ตอนคุยอยู่เราก็เห็นเหมือนพี่กำลังทะเลาะกับแม่ พอวางเราก็เลยถามเค้าว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร เค้าก็เล่าให้ฟังว่า
ตอนที่คุยแม่ได้ยินเสียงผู้ชาย แม่ก็เลยนึกว่าใหม่เอาเพื่อนผู้ชายมาที่บ้าน ก็เลยทะเลาะกันนิดหน่อย เราก็เล่าเรื่องเราให้พี่ฟัง หลังจากนั้นทั้งบ้านไม่มีใครพูดอะไรเลย เงียบมาก เหมือนทั้งเราและพี่รู้ว่าตัวเองกำลังเจออะไรอยู่ พอแม่กลับมา
ทั้งเราและพี่ก็เลยเล้าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง แม่ก็เลยเล่าให้ฟังว่า เมื่อไม่นานมาแล้ว แม่ไปหาคนที่เค้าทรงเจ้าอ่ะ แล้วถามเรื่องเกี่ยวกับบ้าน เค้าก็บอกว่าตรงหน้าบ้านอ่ะ มีเด็ก(กุมาร)มาวิ่งกันเกือบ10คนได้ แม่เราก็เลยถามว่าเค้ามาจากไหนกันเยอะแยะ
เค้าก็เลยบอกว่าที่บ้านตรงข้ามพึ่งถอนต้นไม้ใหญ่ออกใช่มั้ย แม่เราก็บอกว่าใช่ ตอนนั้นแม่เรางงมากเลยว่าเค้ารู้ได้ยังงัย แล้วเค้าก็บอกว่านั่นแหละ ปกติเด็ก(กุมาร)พวกนี้เค้าสิงสถิตอยู่ที่ต้นนี้ พอไปถอนออกก็เหมือนว่าเค้าไม่มีบ้าน
ก็เลยมาอาศัยบ้านเราอยู่ เราก็เลยบอกแม่ว่า เออก็ดีเหมือนกัน เอาเค้ามาอยู่ด้วยจะได้ช่วยดูแลบ้าน
เพราะบ้านเราตอนนี้พวกโจรกำลังชุกชุม >_<
ตอนนั้นพอถึงที่บ้านก็นึกขึ้นได้ว่าลืมของไว้ที่ชั้น 3 ก็เลยวางของทั้งกระเป๋า โทรศัพท์ หนังสือพวกนี้ไว้ที่โซฟาที่ห้องนั่งเล่น แล้วก็รีบวิ่งขึ้นไปเอาของแล้วซักพักเราก็ลงมานั่งดูโทรทัศน์อยู่ข้างล่าง ตอนนั้นก็ยังไม่รู้เรื่องอะไร
ซักพักพี่สาวของเราก็กลับมาถึงที่บ้าน(เราอยู่โรงเรียนเดียวกับพี่สาว) พอซักครึ่งชั่วโมงผ่านไป แฟนของเราก็โทรมาหา ทำเสียงหงุดหงิดโมโหมากเลย เราก็เลยถามว่าเป็นอะไร ตอนแรกเค้าก็บอกว่าเปล่าไม่ได้เป็นอะไร แล้วเค้าก็ถามเราว่าอยู่กับใคร
เราก็เลยบอกว่าอยู่กับใหม่(พี่สาวนั่นแหละ) อยู่กันแค่สองคนเอง เค้าก็ไม่เชื่อ บอกว่าเราโกหก เพราะอะไรรู้มั้ย...เรื่องมีอยู่ว่า ตอนที่เราขึ้นไปเอาของข้างบน แฟนเราเค้าก็โทรมาหาเราพอดี(แต่ตอนนั้นเราไม่รู้งัย) แล้วเค้าได้ยินเสียงคนรับ
เป็นเสียงเด็กผู้ชายสองคนกำลังคุยกันอยู่ เค้าก็ขอสายเรา แต่ไม่มีเสียงคนพูดกับเค้า แต่เค้าก็ยังได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่เหมือนเดิมเค้าก็เลยวางไป พอมาคุยกับเราเค้าก็เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เราก็บอกเค้าว่าบ้าหรอ อยู่กับใหม่ จะมีเสียงผู้ชายได้ยีงไง
เราก็เลยบอกเค้าว่าสงสัยสายมันคงพันกันมั้ง(ทั้งที่ในใจก็เริ่มรู้สึกแปลกๆแล้วแหละ) แล้วผ่านมาได้ซักพัก แม่ของเราก็โทรเข้าที่มือถือพี่ของเรา ตอนคุยอยู่เราก็เห็นเหมือนพี่กำลังทะเลาะกับแม่ พอวางเราก็เลยถามเค้าว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร เค้าก็เล่าให้ฟังว่า
ตอนที่คุยแม่ได้ยินเสียงผู้ชาย แม่ก็เลยนึกว่าใหม่เอาเพื่อนผู้ชายมาที่บ้าน ก็เลยทะเลาะกันนิดหน่อย เราก็เล่าเรื่องเราให้พี่ฟัง หลังจากนั้นทั้งบ้านไม่มีใครพูดอะไรเลย เงียบมาก เหมือนทั้งเราและพี่รู้ว่าตัวเองกำลังเจออะไรอยู่ พอแม่กลับมา
ทั้งเราและพี่ก็เลยเล้าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง แม่ก็เลยเล่าให้ฟังว่า เมื่อไม่นานมาแล้ว แม่ไปหาคนที่เค้าทรงเจ้าอ่ะ แล้วถามเรื่องเกี่ยวกับบ้าน เค้าก็บอกว่าตรงหน้าบ้านอ่ะ มีเด็ก(กุมาร)มาวิ่งกันเกือบ10คนได้ แม่เราก็เลยถามว่าเค้ามาจากไหนกันเยอะแยะ
เค้าก็เลยบอกว่าที่บ้านตรงข้ามพึ่งถอนต้นไม้ใหญ่ออกใช่มั้ย แม่เราก็บอกว่าใช่ ตอนนั้นแม่เรางงมากเลยว่าเค้ารู้ได้ยังงัย แล้วเค้าก็บอกว่านั่นแหละ ปกติเด็ก(กุมาร)พวกนี้เค้าสิงสถิตอยู่ที่ต้นนี้ พอไปถอนออกก็เหมือนว่าเค้าไม่มีบ้าน
ก็เลยมาอาศัยบ้านเราอยู่ เราก็เลยบอกแม่ว่า เออก็ดีเหมือนกัน เอาเค้ามาอยู่ด้วยจะได้ช่วยดูแลบ้าน
เพราะบ้านเราตอนนี้พวกโจรกำลังชุกชุม >_<
เรื่องสยอง ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
…สวัสดีค่ะ พี่ป๋อง…เรื่อง ที่1.ปลาทำงานเป็น DJสถานีวิทยุท้องถิ่น
หรือเรียกง่ายๆว่าวิทยุชุมชน ซึ่งสถานีที่ปลาทำงานอยู่ ตั้งอยู่ในวัด แล้ว ช่วงที่ปลาต้องจัด เป็นเวลา20.00-24.00น.ที่วัดมักจะมีงานศพอยู่บ่อยๆตรงส่วนที่ปลาจัดอยู่บริเวณชั้นสองซึ่งถ้าเวลาจะขึ้นบันได้จะมองเห็นโลงศพที่ตั้งอยู่ทางชั้นล่างเสมอแล้วช่วงเวลากลางๆคืนๆถ้าจะเข้าห้องน้ำก้อต้องเดินลงมาที่ชั้นล่างจะต้องเดินผ่านตรงโลงศพแบบว่าใกล้ๆมากแล้วคืนนั้นพอดีว่าลงไปเข้าห้องน้ำนี่ละคะแล้วช่วงที่เดินไปก้อไม่มีอะไรแต่ระหว่างทางเดินกลับก้อต้องสะดุ้ง
เพราะสิ่งที่อยู่ข้างหน้าคือว่า ศพ!!ลงมาอยู่ข้างหน้าโลงตกลงมาแตกแล้วศพก้อมาอยู่ตรงข้างหน้าปลา ยังไม่เท่าไหร่นะเวลานั้นสิ่งที่เห็นคือ ศพ ลืมตา เท่านั้นแหละค่ะ เป็นลมไปเลย เช้าขึ้นมา ทางญาติเค้ามาเจอปลานอนสลบ เรยถามไถ่ว่าเป็นอะไร ก้อเล่าให้ทางบ้านเค้าฟังเค้าก้อบอกว่า ทางบ้านเค้าเองก้อโดนเหมือนกัน คือว่า คนที่เสียชีวิตเนี่ย เค้ามีลูกคนนึงอายุ3ขวบ ซึ่งแม่เค้าเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้แล้ว
แล้วเหมือนว่าเค้ายังกังวลและเป็นห่วง คนทางบ้านเค้าเล่าว่าช่วงดึกๆประมานเที่ยงคืน จะได้ยินเสียงลูกเค้่านั่งหัวเราะ ทั้งๆที่ เด็กอยู่ในห้องคนเดียว บางครั้งมีเสียงคนขึ้นลงบันไดหลังจากคืนนั้นที่ปลาเห็นศพลืมตา ปลาก้อมะกล้าเข้าไปทำงานอีก จนกะทั่ง เผาศพแล้ว ปลาจึงได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศล *ถ้าเป็นคุณละคะศพอยู่ข้างหน้าแล้วลืมตามองคุณคุณจะทำยังไง?*เรื่องที่2.ปลาเป็นคนรักสวยรักงามด้วยความที่ผมยาวช้า ถึงตัดสินใจไปต่อผม
ที่ร้านแห่งหนึ่งแถวๆอนุสาวรีย์ หลังจากเลือกผมเรียนร้อบแล้วช่างทำผมก้อต่อให้เสร็จแล้วก้อกลับที่พัก คืนนั้นก้ออยู่กับเพื่อนปกติค่ะมะมีอะไรเกิดขึ้นกลางคืนปลาตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำละเดินผ่านกระจกเหลือบไปเห็นมีคนเหมือนกับว่าเกาะอยู่ด้านหลังปลาปลาจึงขยี้ตาเพราะคิดว่าตาฝาดละภาพนั้นก้อหายไปเช้ามาก้อเล่าให้เพื่อนฟังเพื่อนก้อบอกว่าปลาคิดมากไปพอคึืนที่สองมาตอนตั้นเป็นเวลาประมาณห้าทุ่ม ก้อกำลังจะกินข้าวกับเพื่อนกัน
ส่วนปลานั่งพิมงานหน้าคอมแล้วเพื่อนเป็นคนหาจานชามมาวาง สักพักเพื่อนก้อมาเรียก “ปลากินข้าว”แล้วพอจบประโยคนั้น ก้อมีเสียง กรี๊ดดดดดดดดดดดดด!!~ จานข้าวกระจัดกระจาย แล้วเพื่อนของปลาก้อล้มลงไป สลบอยู่ครึ่ง ชม.ได้ พอเพื่อนตื่นขึ้นมา ก้อถามเพื่อนว่า เป็นอะไรไป? เพื่อนก้อพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆว่า เห็นใครไม่รู้นั่งข้างหลังปลา เอามือมาสรางผมปลาแล้วผู้หญิงคนนั้นหันมามองหน้าเธอ เธอตกใจมากแล้ว เป็นลมไป
พอปลาฟังเพื่อนพูดจบ เลยคุยกับเพื่อนว่า เป็นเพราะปลาต่อผมรึป่าว เพื่อนก้อบอกว่าไม่รู้สิไม่แน่ใจ ปลาก้อเรยพูดไปว่า ตอนเช้าเรากลับไปที่ร้านนั้นกัน พอเช้าก้อไปที่ร้า่นนั้นกันแล้วได้เล่าให้เจ้าของร้านฟัง ซักเจ้าของร้านอยู่นานจนเค้ายอมเล่าความจริงว่า ก่อนหน้าที่ปลาและเพื่อนจะไปต่อผมที่นั่น มีเด็กผู้หญิงคนนึง ซึ่งผมยาวและสวยมาก เค้าได้มาขายผมเพราะว่าไม่มีเงินใช้ไปเรียน ซึ่งพี่เจ้าของร้านก้อรับซื้อไว้
ซึ่งก่้อนที่เด็กคนนั้นจะออกจากร้านไป เธอกำชับว่า “พี่อย่าขายผมหนูให้ใครนะ หนูรักของหนู เด่วหนูจะมาซื้อคืน” หลังจากนั้น 2วัน เพื่อนของน้องคนที่ขายผมให้กับพี่เจ้าของร้านก้อมาบอกเจ้าของร้านว่า เพื่อนคนที่ขายผมให้กับพี่เจ้าของร้าน เสียชีวิตแล้ว
เพราะโดนรถชน ซึ่งเจ้าของร้านก้อไม่้ได้คิดอะไร จนกระทั่งปลาไปต่อผมที่ร้าน
นั้นเป็นอีกหนึ่งประสบการ์ณที่มะเคยคิดเรยว่าจะเจอกับตัวเอง T_T
หรือเรียกง่ายๆว่าวิทยุชุมชน ซึ่งสถานีที่ปลาทำงานอยู่ ตั้งอยู่ในวัด แล้ว ช่วงที่ปลาต้องจัด เป็นเวลา20.00-24.00น.ที่วัดมักจะมีงานศพอยู่บ่อยๆตรงส่วนที่ปลาจัดอยู่บริเวณชั้นสองซึ่งถ้าเวลาจะขึ้นบันได้จะมองเห็นโลงศพที่ตั้งอยู่ทางชั้นล่างเสมอแล้วช่วงเวลากลางๆคืนๆถ้าจะเข้าห้องน้ำก้อต้องเดินลงมาที่ชั้นล่างจะต้องเดินผ่านตรงโลงศพแบบว่าใกล้ๆมากแล้วคืนนั้นพอดีว่าลงไปเข้าห้องน้ำนี่ละคะแล้วช่วงที่เดินไปก้อไม่มีอะไรแต่ระหว่างทางเดินกลับก้อต้องสะดุ้ง
เพราะสิ่งที่อยู่ข้างหน้าคือว่า ศพ!!ลงมาอยู่ข้างหน้าโลงตกลงมาแตกแล้วศพก้อมาอยู่ตรงข้างหน้าปลา ยังไม่เท่าไหร่นะเวลานั้นสิ่งที่เห็นคือ ศพ ลืมตา เท่านั้นแหละค่ะ เป็นลมไปเลย เช้าขึ้นมา ทางญาติเค้ามาเจอปลานอนสลบ เรยถามไถ่ว่าเป็นอะไร ก้อเล่าให้ทางบ้านเค้าฟังเค้าก้อบอกว่า ทางบ้านเค้าเองก้อโดนเหมือนกัน คือว่า คนที่เสียชีวิตเนี่ย เค้ามีลูกคนนึงอายุ3ขวบ ซึ่งแม่เค้าเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้แล้ว
แล้วเหมือนว่าเค้ายังกังวลและเป็นห่วง คนทางบ้านเค้าเล่าว่าช่วงดึกๆประมานเที่ยงคืน จะได้ยินเสียงลูกเค้่านั่งหัวเราะ ทั้งๆที่ เด็กอยู่ในห้องคนเดียว บางครั้งมีเสียงคนขึ้นลงบันไดหลังจากคืนนั้นที่ปลาเห็นศพลืมตา ปลาก้อมะกล้าเข้าไปทำงานอีก จนกะทั่ง เผาศพแล้ว ปลาจึงได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศล *ถ้าเป็นคุณละคะศพอยู่ข้างหน้าแล้วลืมตามองคุณคุณจะทำยังไง?*เรื่องที่2.ปลาเป็นคนรักสวยรักงามด้วยความที่ผมยาวช้า ถึงตัดสินใจไปต่อผม
ที่ร้านแห่งหนึ่งแถวๆอนุสาวรีย์ หลังจากเลือกผมเรียนร้อบแล้วช่างทำผมก้อต่อให้เสร็จแล้วก้อกลับที่พัก คืนนั้นก้ออยู่กับเพื่อนปกติค่ะมะมีอะไรเกิดขึ้นกลางคืนปลาตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำละเดินผ่านกระจกเหลือบไปเห็นมีคนเหมือนกับว่าเกาะอยู่ด้านหลังปลาปลาจึงขยี้ตาเพราะคิดว่าตาฝาดละภาพนั้นก้อหายไปเช้ามาก้อเล่าให้เพื่อนฟังเพื่อนก้อบอกว่าปลาคิดมากไปพอคึืนที่สองมาตอนตั้นเป็นเวลาประมาณห้าทุ่ม ก้อกำลังจะกินข้าวกับเพื่อนกัน
ส่วนปลานั่งพิมงานหน้าคอมแล้วเพื่อนเป็นคนหาจานชามมาวาง สักพักเพื่อนก้อมาเรียก “ปลากินข้าว”แล้วพอจบประโยคนั้น ก้อมีเสียง กรี๊ดดดดดดดดดดดดด!!~ จานข้าวกระจัดกระจาย แล้วเพื่อนของปลาก้อล้มลงไป สลบอยู่ครึ่ง ชม.ได้ พอเพื่อนตื่นขึ้นมา ก้อถามเพื่อนว่า เป็นอะไรไป? เพื่อนก้อพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆว่า เห็นใครไม่รู้นั่งข้างหลังปลา เอามือมาสรางผมปลาแล้วผู้หญิงคนนั้นหันมามองหน้าเธอ เธอตกใจมากแล้ว เป็นลมไป
พอปลาฟังเพื่อนพูดจบ เลยคุยกับเพื่อนว่า เป็นเพราะปลาต่อผมรึป่าว เพื่อนก้อบอกว่าไม่รู้สิไม่แน่ใจ ปลาก้อเรยพูดไปว่า ตอนเช้าเรากลับไปที่ร้านนั้นกัน พอเช้าก้อไปที่ร้า่นนั้นกันแล้วได้เล่าให้เจ้าของร้านฟัง ซักเจ้าของร้านอยู่นานจนเค้ายอมเล่าความจริงว่า ก่อนหน้าที่ปลาและเพื่อนจะไปต่อผมที่นั่น มีเด็กผู้หญิงคนนึง ซึ่งผมยาวและสวยมาก เค้าได้มาขายผมเพราะว่าไม่มีเงินใช้ไปเรียน ซึ่งพี่เจ้าของร้านก้อรับซื้อไว้
ซึ่งก่้อนที่เด็กคนนั้นจะออกจากร้านไป เธอกำชับว่า “พี่อย่าขายผมหนูให้ใครนะ หนูรักของหนู เด่วหนูจะมาซื้อคืน” หลังจากนั้น 2วัน เพื่อนของน้องคนที่ขายผมให้กับพี่เจ้าของร้านก้อมาบอกเจ้าของร้านว่า เพื่อนคนที่ขายผมให้กับพี่เจ้าของร้าน เสียชีวิตแล้ว
เพราะโดนรถชน ซึ่งเจ้าของร้านก้อไม่้ได้คิดอะไร จนกระทั่งปลาไปต่อผมที่ร้าน
นั้นเป็นอีกหนึ่งประสบการ์ณที่มะเคยคิดเรยว่าจะเจอกับตัวเอง T_T
วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
ใครกันช่วยเข็น
เรื่องที่จาเล่าเนี่ย เปนเรื่องของคุนน้าที่ได้เจอมากับตัวเองมาเล่าให้ฟังช่วงที่
คุนน้ากำลังเปนวัยรุ่นเนี่ย สมัยก่อนก้ชอบ ขับมอเตอร์ไซด์ซึ่งตามต่างจังหวัดเนี่ยเราก้จาเหนภาพเหล่านี้ ทำกันยิ่งกว่าประเพณีสืบต่อกันมาขับไปนู้นมานี่เหมือนเปนสิ่งที่ขาดไม่ได้ ก้มีอยู่วันนึง คุนน้าเนี่ยขับรถไปหาเพื่อนในหมู่บ้าน แห่งนึงซึ่งไกลจากบ้านตัวเองประมาน เกือบ10กิโล แระทางที่ขับรถผ่านก่อนจาไปถึงหมู่บ้านนั้น
ก้มีแต่ป่าแระก้ทุ่งนา ไม่มีไฟข้างทาง ไม่มีรถวิ่งผ่าน คุนน้าก้ไปถึงบ้านเพื่อนคนนี้ประมานเย็นๆ แระก้ได้นั่งคุยกันจนเกือบจาเที่ยงคืน ก้ขอลากลับก่อนกัวที่บ้านจะเปนห่วง ขามาเนี่ย สว่างไม่คิดอารัย แต่ขากลับเนี่ยสิ่ เกือบเที่ยงคืนแร๊วแน่นอนไม่มีทั้งรถแระคน แน่ๆคุนน้าก้ขับรถมาเรื่อย ไม่รู้เวรกรรมอารัย ฝนดันตกลงมา ทางก้ลื่น แระ
ทางข้างหน้าที่จาต้องผ่านพอดีก้คือ ศาล แระก้ต้นตาลด้วยฝนที่ตกหนักแระทำให้ เหมือนเหนอารัยลางๆ มีผู้ญ คนนึงโบกรถอยู่ตรงศาลนั้นสภาพก้ใส่ชุดนอนเหมือนชุดคลุมท้องยาวๆ ผมยาวปิดใบหน้า เมื่อได้เหนแร๊วก้พยายามตั้งสติอีกทีด้วยความอยากรู้ เวลาที่คนเราเหนอารัยผิดปกติ ก้จาหันไปอีกรอบแต่พอเช็คน้ามฝนที่ตกใส่หน้า ผู้ญคนนั้นก้หายไปแร๊ว .. .
คุนน้าไม่คิดอารัยคิดว่าตัวเองคงตาฝาดไปเอง (พยายามหลอกตัวเอง)จนกะทั่งผ่านศาลนี้ไป รถก้ดับกะทันหัน เกิด อารัยขึ้น ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจ แกพยามยามคิดว่าหัวเทียนบอดหล่ะมั๊งไม่มีเวลามานั่งซ่อมแระ ก้เรยเข็นรถไปเรื่อยๆ สักพักก้รู้สึกเหมือนกับว่า รถมันหนักๆ เหมือนมีใครมานั่งบนเบาะหลัง
คุนน้ารู้ตัวว่ากำลังเจอกับอารัย ก้เรย พูดออกมาว่า "ผมเหนื่อยอยากกลับบ้านแร๊ว ถ้าแถวนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก้ช่วยผมเข็นกลับบ้านอย่างปลอดภัยที"สักพัก ก้เหมือนมีคนช่วยเข็น รถ จนกะทั่งถึงหมู่บ้านที่ทำถนนแร๊วไม่ใช่ทางลูกรัง มีไฟ ข้างทาง
ก้รู้สึกว่าเปนแรงตัวเอง ก้เรยลองสตาร์ทรถดู ปรากฏว่ามานก้ใช้ได้ปกติ ก้เรยรีบขับกลับบ้านไปเรยมารู้อีกทีนึงว่า ศาลตรงที่น้าขับผ่านตรงนั้นเคยมีผู้ญท้อง ผูกคอตาย ใต้ต้นตาล ตรงนั้น แระ ช่วงดึกๆ ก้ไม่มีใครกล้าผ่านไปแถวนั้นเรย..
สักคนเปนคุน หล่ะจายังมีสติพอที่จาเข็นรถไปเรื่อยๆรึเป่า?
คุนน้ากำลังเปนวัยรุ่นเนี่ย สมัยก่อนก้ชอบ ขับมอเตอร์ไซด์ซึ่งตามต่างจังหวัดเนี่ยเราก้จาเหนภาพเหล่านี้ ทำกันยิ่งกว่าประเพณีสืบต่อกันมาขับไปนู้นมานี่เหมือนเปนสิ่งที่ขาดไม่ได้ ก้มีอยู่วันนึง คุนน้าเนี่ยขับรถไปหาเพื่อนในหมู่บ้าน แห่งนึงซึ่งไกลจากบ้านตัวเองประมาน เกือบ10กิโล แระทางที่ขับรถผ่านก่อนจาไปถึงหมู่บ้านนั้น
ก้มีแต่ป่าแระก้ทุ่งนา ไม่มีไฟข้างทาง ไม่มีรถวิ่งผ่าน คุนน้าก้ไปถึงบ้านเพื่อนคนนี้ประมานเย็นๆ แระก้ได้นั่งคุยกันจนเกือบจาเที่ยงคืน ก้ขอลากลับก่อนกัวที่บ้านจะเปนห่วง ขามาเนี่ย สว่างไม่คิดอารัย แต่ขากลับเนี่ยสิ่ เกือบเที่ยงคืนแร๊วแน่นอนไม่มีทั้งรถแระคน แน่ๆคุนน้าก้ขับรถมาเรื่อย ไม่รู้เวรกรรมอารัย ฝนดันตกลงมา ทางก้ลื่น แระ
ทางข้างหน้าที่จาต้องผ่านพอดีก้คือ ศาล แระก้ต้นตาลด้วยฝนที่ตกหนักแระทำให้ เหมือนเหนอารัยลางๆ มีผู้ญ คนนึงโบกรถอยู่ตรงศาลนั้นสภาพก้ใส่ชุดนอนเหมือนชุดคลุมท้องยาวๆ ผมยาวปิดใบหน้า เมื่อได้เหนแร๊วก้พยายามตั้งสติอีกทีด้วยความอยากรู้ เวลาที่คนเราเหนอารัยผิดปกติ ก้จาหันไปอีกรอบแต่พอเช็คน้ามฝนที่ตกใส่หน้า ผู้ญคนนั้นก้หายไปแร๊ว .. .
คุนน้าไม่คิดอารัยคิดว่าตัวเองคงตาฝาดไปเอง (พยายามหลอกตัวเอง)จนกะทั่งผ่านศาลนี้ไป รถก้ดับกะทันหัน เกิด อารัยขึ้น ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจ แกพยามยามคิดว่าหัวเทียนบอดหล่ะมั๊งไม่มีเวลามานั่งซ่อมแระ ก้เรยเข็นรถไปเรื่อยๆ สักพักก้รู้สึกเหมือนกับว่า รถมันหนักๆ เหมือนมีใครมานั่งบนเบาะหลัง
คุนน้ารู้ตัวว่ากำลังเจอกับอารัย ก้เรย พูดออกมาว่า "ผมเหนื่อยอยากกลับบ้านแร๊ว ถ้าแถวนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก้ช่วยผมเข็นกลับบ้านอย่างปลอดภัยที"สักพัก ก้เหมือนมีคนช่วยเข็น รถ จนกะทั่งถึงหมู่บ้านที่ทำถนนแร๊วไม่ใช่ทางลูกรัง มีไฟ ข้างทาง
ก้รู้สึกว่าเปนแรงตัวเอง ก้เรยลองสตาร์ทรถดู ปรากฏว่ามานก้ใช้ได้ปกติ ก้เรยรีบขับกลับบ้านไปเรยมารู้อีกทีนึงว่า ศาลตรงที่น้าขับผ่านตรงนั้นเคยมีผู้ญท้อง ผูกคอตาย ใต้ต้นตาล ตรงนั้น แระ ช่วงดึกๆ ก้ไม่มีใครกล้าผ่านไปแถวนั้นเรย..
สักคนเปนคุน หล่ะจายังมีสติพอที่จาเข็นรถไปเรื่อยๆรึเป่า?
คอมเม้นสยองขวัญ
สวัสดีค่าทุกๆคนเรื่องที่จะเล่านี้เกิดที่จ.พิษณุโลกค่ะ
เรื่องผ่านมาจะปีนึงแล้ว คือตอนนั้นอยู่ม.5 วันนั้นเป็นวันศุกร์หนูกะเพื่อนๆโกหกทางบ้านว่าจะไปทำรายงานที่บ้านเพื่อนคนนึงแต่ก้อไม่ได้ไปเพราะกะว่าจะมาหาที่นอนค้างกันเองแล้วจะออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน(นิสัยไม่ดีเลย)
กว่าจะหาทีพักได้ก้อทุ่มกว่าๆแล้วหนูไปได้ที่พักที่ค่อนข้างลับตาคนนิดนึงเพราะกัวที่บ้านจะเห็นกันเป็นอพาตร์เม้นเล็กๆอยู่หลังวัดๆนึงราคาถูกดีแค่330บาทต่อคืนห้องที่ได้คือห้อง502อยู่ชั้น5บนสุดเลยในห้องก้อเหมือนเม้นธรรมดาทั่วไปแต่ออกจาอับๆทึบๆนิดนึงพอวางของเส็ดพวกหนูก้อออกไปยืนคุยกันที่ระเบียงคุยกันสักพักหนูก้อเข้ามาอาบน้ำหนูเข้ามาคนเดียวคนอื่นยังอยู่ข้างนอกเรามากัน4คนค่ะ
หนูก้ออาบน้ำไปตามปกติเส็ดแล้วก้อมายืนหน้ากระจกจะแปรงฟันจุกปิดยาสีฟันมันดันหล่นลงพื้นก้อก้มไปเก็บตอนก้มลงไปสายตาดันมองออกไปตรงช่องระบายอากาศของประตูห้องน้ำ(ที่มันจะเป็นช่องยาวๆ3-4ช่องอยู่ด้านล่างอ่ะคะ)ก้อเห็นพื้นหน้าห้องน้ำแต่มีขาคนข้างนึงกำลังก้าวมาหยุดอยู่หน้าห้องน้ำเปนขาน่าจะผู้ชายเพราะลักษณะใหญ่ๆดำๆใส่กางเกงยีนสีออกเข้มๆหนูก้อคิดว่าตาฝาดน่ะเรากำลังคิดอยู่ๆก้อมีอีกข้างก้าวตามมา
ชัดเลยค่ะไม่ฝาดแน่ๆหนูเลยตะโกนถามเพื่อนว่าอยู่ไหนกันเสียงเพื่อนก้อตอบมาว่าอยู่ที่ระเบียงหนูก้อเลยก้มดูอีกทีหายไปแล้วค่ะหลังจากนั้นเพื่อนๆก้อเข้ามาอาบน้ำกันหนูก้อไม่ได้เล่าให้ใครฟังเพราะเดี๋ยวจะกลัวกันจนเราออกไปเที่ยวกันมารุ่นพี่ก้อขับรถมาส่งหน้าเม้นพอหนูเห็นเม้นหนูก้อเกิดความรู้สึกไม่อยากขึ้นเลยเล่าให้เพื่อนฟังหมดเลย
ปรากฏว่าคืนนั้นเราต้องไปนั่งที่ร้านข้าวต้มโต้รุ่งกันยันเช้าแต่มันยังไม่จบแค่นี้นะคะพอฟ้าสว่างก้อมาเอาของแล้วเผ่นเลยแต่ว่าพวกหนูบอกที่บ้านว่าจะไปค้าง2คืนพวกเราเลยต้องหาที่พักพิงอีก1คืนแปบนึงก้อได้ที่ใหม่ถัดจากที่เก่ามา2ซอยเม้นนี้ใหญ่โตดูดีแต่ค่าเช่าตั้ง600แต่ก้อ
เพื่อความสบายใจก้อตกลงเอาที่นี่ได้ห้อง604ชั้น6ที่นี่มีหลายชั้นจำไม่ได้ว่ากี่ชั้นวันนั้นออกไปข้างนอกกันทั้งวันกว่าจาได้กลับมานอนบนห้องก้อ3สามทุ่มกว่าๆแล้วอาบน้ำเส็ดก้อปิดไฟนอนปกติสุขดีทุกอย่างแต่พอเคลิ้มๆจะหลับอยู่แล้วมันมีความรู้สึกรำคานยังไงไม่รู้มันเป็นเสียงคนลากอะไรก้อไม่รู้อยู่ข้างบนวนเวียนอยู่ตรงที่ๆเรานอนดังจนน่ารำคานเลยค่ะเพื่อนหนุคนนึงลุกขึ้นมาก่อนแล้วนั่งฟังอยู่
เพื่อนหนูก้อพูดจาหยาบคายด่าเสียงดังเลยค่ะแค่นั้นไม่พอเดินออกไปนอกระเบียงเอาหลังพิงราวระเบียงแล้วชะโงกหน้าขึ้นไปด่าแต่พอหนูออกไปยืนดูมั่งมันมืดหมดเลยค่ะไม่มีแม้แต่แสงทีวีลอดออกมาแว๊บๆก้อไม่มีแล้วมันมืดทั้งแถบเลยค่าเหมือนไม่มีคนอยู่เลยพอเห็นยังงั้นก้อคิดว่ามันแปลกๆละเลยเข้าห้องมานอนเลยเปิดไฟนอนสว่างทั้งห้องเลยหนูก้ออุ่นใจหน่อยนึงเลยหลับไปแต่ก้อต้องสะดุ้งตื่น
เพราะเพื่อนหนูคนที่เค้าด่าอ่ะอยู่ดีดีก้อร้องกรี๊ดกร๊าดเลยทั้งๆที่เพื่อนคนนี้เป็นทอมทุกคนตกใจตื่นหมดเลยคะถามเพื่อนว่าเป็นอะไรก้อไม่บอกพูดแต่ว่าอยู่ไม่ได้แล้วๆเก็บของๆไม่ถึง5นาทีพวกเราลงมาถึงข้างล่างแล้วเพื่อนหนูคนที่เปนทอมเค้าไปถามพนักงานว่าห้องข้างบนของห้อง604ห้องอะไรเค้าก้อบอกว่า704แล้วก้อถามต่อไปว่ามีคนอยู่ไหมเค้าก้อไม่บอกถามเรากลับด้วยว่าจะรู้ไปทำไมตอนนั้นก้อตี1กว่าๆ
แล้วเราเลยเดินออกจากที่นั่นพอดีไปเจอกับแม่บ้านคนนึงหนูจำหน้าแกได้ตอนจะขึ้นลิฟท์เราสวนกันเลยไปถามแกแกก้อบอกว่าชั้น7มีคนอยู่ไม่กี่ห้องแล้วก้อชั่วคราวทั้งนั้นเลยแต่ฝั่งห้อง704ไม่มีคนทั้งแถบเลยฟังแค่นั่นพวกหนูก้อจ้ำอ้าวออกมาเลยค่ะพวกเราเลยมาอาศัยป้ายรถประจำทางและแสงไฟจาก7-11เพื่อนคนที่เป็นทอมเค้า
ก้อเล่าให้ฟังว่าตอนนอนอยู่อ่ะนอนไม่หลับเลยพลิกตัวมองโน่นมองนี่ไปเรื่อยๆเพื่อนคนนี้นอนริมทางระเบียงแล้วม่านก้อไม่ได้รูดปิดเค้าก้อมองออกไปที่ระเบียงอยู่ๆก้อมีเหมือนเปนผมคนค่อยๆเลื่อนๆๆลงมาตามด้วยหน้าคนค่ะเพื่อนบอกว่าเป็นหน้าผู้หญิงตาโตมากมายหน้าเค้านิ่งๆมองมาทางเพื่อนเพื่อนหนูขยับตัวไม่ได้จ้องตากะเค้าประมานครึ่งนาทีพอขยับตัวได้ก้อเลยร้องขึ้นมาเลยค่ะพวกหนูเลย
สรุปกันว่าเราไปหยาบคายใส่เค้าแล้วก้อยังไปชะโงกมองเค้าอีกเค้าเลยมามองเราบ้างจากนั้นมาไม่มีใครกล้าเฉียดไปแถวนั้นเลยค่ะเข็ดเลยไม่อยากจะรู้ต้นตอของเรื่องนี้ด้วย เรื่องอาจจะไม่น่ากัวนะคะแต่พวกหนูยังสยองไม่หายเลยค่ะโดน2คืนติด2เด้งเลยอ่า
- -"ปล.อยากโทไปเล่าจังเลยแต่ก่อนอยู่กทม.ฟังทุกสัปดาห์เลยค่าพอมาอยู่พิษณุโลกได้แต่ฟังแห้ง.อิอิ. นู๋อิง พิดโลก
เรื่องผ่านมาจะปีนึงแล้ว คือตอนนั้นอยู่ม.5 วันนั้นเป็นวันศุกร์หนูกะเพื่อนๆโกหกทางบ้านว่าจะไปทำรายงานที่บ้านเพื่อนคนนึงแต่ก้อไม่ได้ไปเพราะกะว่าจะมาหาที่นอนค้างกันเองแล้วจะออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน(นิสัยไม่ดีเลย)
กว่าจะหาทีพักได้ก้อทุ่มกว่าๆแล้วหนูไปได้ที่พักที่ค่อนข้างลับตาคนนิดนึงเพราะกัวที่บ้านจะเห็นกันเป็นอพาตร์เม้นเล็กๆอยู่หลังวัดๆนึงราคาถูกดีแค่330บาทต่อคืนห้องที่ได้คือห้อง502อยู่ชั้น5บนสุดเลยในห้องก้อเหมือนเม้นธรรมดาทั่วไปแต่ออกจาอับๆทึบๆนิดนึงพอวางของเส็ดพวกหนูก้อออกไปยืนคุยกันที่ระเบียงคุยกันสักพักหนูก้อเข้ามาอาบน้ำหนูเข้ามาคนเดียวคนอื่นยังอยู่ข้างนอกเรามากัน4คนค่ะ
หนูก้ออาบน้ำไปตามปกติเส็ดแล้วก้อมายืนหน้ากระจกจะแปรงฟันจุกปิดยาสีฟันมันดันหล่นลงพื้นก้อก้มไปเก็บตอนก้มลงไปสายตาดันมองออกไปตรงช่องระบายอากาศของประตูห้องน้ำ(ที่มันจะเป็นช่องยาวๆ3-4ช่องอยู่ด้านล่างอ่ะคะ)ก้อเห็นพื้นหน้าห้องน้ำแต่มีขาคนข้างนึงกำลังก้าวมาหยุดอยู่หน้าห้องน้ำเปนขาน่าจะผู้ชายเพราะลักษณะใหญ่ๆดำๆใส่กางเกงยีนสีออกเข้มๆหนูก้อคิดว่าตาฝาดน่ะเรากำลังคิดอยู่ๆก้อมีอีกข้างก้าวตามมา
ชัดเลยค่ะไม่ฝาดแน่ๆหนูเลยตะโกนถามเพื่อนว่าอยู่ไหนกันเสียงเพื่อนก้อตอบมาว่าอยู่ที่ระเบียงหนูก้อเลยก้มดูอีกทีหายไปแล้วค่ะหลังจากนั้นเพื่อนๆก้อเข้ามาอาบน้ำกันหนูก้อไม่ได้เล่าให้ใครฟังเพราะเดี๋ยวจะกลัวกันจนเราออกไปเที่ยวกันมารุ่นพี่ก้อขับรถมาส่งหน้าเม้นพอหนูเห็นเม้นหนูก้อเกิดความรู้สึกไม่อยากขึ้นเลยเล่าให้เพื่อนฟังหมดเลย
ปรากฏว่าคืนนั้นเราต้องไปนั่งที่ร้านข้าวต้มโต้รุ่งกันยันเช้าแต่มันยังไม่จบแค่นี้นะคะพอฟ้าสว่างก้อมาเอาของแล้วเผ่นเลยแต่ว่าพวกหนูบอกที่บ้านว่าจะไปค้าง2คืนพวกเราเลยต้องหาที่พักพิงอีก1คืนแปบนึงก้อได้ที่ใหม่ถัดจากที่เก่ามา2ซอยเม้นนี้ใหญ่โตดูดีแต่ค่าเช่าตั้ง600แต่ก้อ
เพื่อความสบายใจก้อตกลงเอาที่นี่ได้ห้อง604ชั้น6ที่นี่มีหลายชั้นจำไม่ได้ว่ากี่ชั้นวันนั้นออกไปข้างนอกกันทั้งวันกว่าจาได้กลับมานอนบนห้องก้อ3สามทุ่มกว่าๆแล้วอาบน้ำเส็ดก้อปิดไฟนอนปกติสุขดีทุกอย่างแต่พอเคลิ้มๆจะหลับอยู่แล้วมันมีความรู้สึกรำคานยังไงไม่รู้มันเป็นเสียงคนลากอะไรก้อไม่รู้อยู่ข้างบนวนเวียนอยู่ตรงที่ๆเรานอนดังจนน่ารำคานเลยค่ะเพื่อนหนุคนนึงลุกขึ้นมาก่อนแล้วนั่งฟังอยู่
เพื่อนหนูก้อพูดจาหยาบคายด่าเสียงดังเลยค่ะแค่นั้นไม่พอเดินออกไปนอกระเบียงเอาหลังพิงราวระเบียงแล้วชะโงกหน้าขึ้นไปด่าแต่พอหนูออกไปยืนดูมั่งมันมืดหมดเลยค่ะไม่มีแม้แต่แสงทีวีลอดออกมาแว๊บๆก้อไม่มีแล้วมันมืดทั้งแถบเลยค่าเหมือนไม่มีคนอยู่เลยพอเห็นยังงั้นก้อคิดว่ามันแปลกๆละเลยเข้าห้องมานอนเลยเปิดไฟนอนสว่างทั้งห้องเลยหนูก้ออุ่นใจหน่อยนึงเลยหลับไปแต่ก้อต้องสะดุ้งตื่น
เพราะเพื่อนหนูคนที่เค้าด่าอ่ะอยู่ดีดีก้อร้องกรี๊ดกร๊าดเลยทั้งๆที่เพื่อนคนนี้เป็นทอมทุกคนตกใจตื่นหมดเลยคะถามเพื่อนว่าเป็นอะไรก้อไม่บอกพูดแต่ว่าอยู่ไม่ได้แล้วๆเก็บของๆไม่ถึง5นาทีพวกเราลงมาถึงข้างล่างแล้วเพื่อนหนูคนที่เปนทอมเค้าไปถามพนักงานว่าห้องข้างบนของห้อง604ห้องอะไรเค้าก้อบอกว่า704แล้วก้อถามต่อไปว่ามีคนอยู่ไหมเค้าก้อไม่บอกถามเรากลับด้วยว่าจะรู้ไปทำไมตอนนั้นก้อตี1กว่าๆ
แล้วเราเลยเดินออกจากที่นั่นพอดีไปเจอกับแม่บ้านคนนึงหนูจำหน้าแกได้ตอนจะขึ้นลิฟท์เราสวนกันเลยไปถามแกแกก้อบอกว่าชั้น7มีคนอยู่ไม่กี่ห้องแล้วก้อชั่วคราวทั้งนั้นเลยแต่ฝั่งห้อง704ไม่มีคนทั้งแถบเลยฟังแค่นั่นพวกหนูก้อจ้ำอ้าวออกมาเลยค่ะพวกเราเลยมาอาศัยป้ายรถประจำทางและแสงไฟจาก7-11เพื่อนคนที่เป็นทอมเค้า
ก้อเล่าให้ฟังว่าตอนนอนอยู่อ่ะนอนไม่หลับเลยพลิกตัวมองโน่นมองนี่ไปเรื่อยๆเพื่อนคนนี้นอนริมทางระเบียงแล้วม่านก้อไม่ได้รูดปิดเค้าก้อมองออกไปที่ระเบียงอยู่ๆก้อมีเหมือนเปนผมคนค่อยๆเลื่อนๆๆลงมาตามด้วยหน้าคนค่ะเพื่อนบอกว่าเป็นหน้าผู้หญิงตาโตมากมายหน้าเค้านิ่งๆมองมาทางเพื่อนเพื่อนหนูขยับตัวไม่ได้จ้องตากะเค้าประมานครึ่งนาทีพอขยับตัวได้ก้อเลยร้องขึ้นมาเลยค่ะพวกหนูเลย
สรุปกันว่าเราไปหยาบคายใส่เค้าแล้วก้อยังไปชะโงกมองเค้าอีกเค้าเลยมามองเราบ้างจากนั้นมาไม่มีใครกล้าเฉียดไปแถวนั้นเลยค่ะเข็ดเลยไม่อยากจะรู้ต้นตอของเรื่องนี้ด้วย เรื่องอาจจะไม่น่ากัวนะคะแต่พวกหนูยังสยองไม่หายเลยค่ะโดน2คืนติด2เด้งเลยอ่า
- -"ปล.อยากโทไปเล่าจังเลยแต่ก่อนอยู่กทม.ฟังทุกสัปดาห์เลยค่าพอมาอยู่พิษณุโลกได้แต่ฟังแห้ง.อิอิ. นู๋อิง พิดโลก
วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
เรื่องเล่าผีๆ 1
เรื่องผีอันดับหนึ่งของ มหาลัย... ในแง่ของความเศร้า
ระยะเวลาที่เกิดเหตุการณ์ไม่ทราบแน่ชัดแต่สถานที่เกิดคือ หอหญิง ในสมัยที่มหาลัย ยังเป็นที่รกร้างอยู่มาก ถนนยังเป็นลูกรังถนนหน้าฝนเป็นโคลน รถไปมาลำบาก ตอนกลางคืนมืด ไม่มีแสงไฟ เรื่องเกิดกับ นักศึกษาสาว คู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ประมาณ ชั้น 2 หรือ 3ของหอ ช่วงนั้นเป็นช่วงสอบ นักศึกษาต่างกำลังอ่านหนังสือกันอยู่ ประมาณว่านักศึกษาหญิงคนหนึ่งไม่สบาย
อ่านหนังสือในห้องตอนหัวค่ำแล้วรูมเมทชวนไปทานข้าว แต่เพราะเป็นไข้อยู่จึงไปไม่ไหว อยากพักผ่อน พอเมทคนนั้นเห็นเพื่อนไม่สบาย ด้วยความเป็นห่วง จึงบอกว่าเดี๋ยวไปทานข้าวเองก็ได้ แล้วจะห่อข้าวมาฝากเพื่อนคนที่ไม่สบายก็บอกว่า ยังไงฝากซื้อลาดหน้า (หรือผัดไทซักอย่างที่เป็นเส้นๆ) มาให้ทีละกันกินแล้วจะได้กินยา เมทคนนั้นก็บอกว่าได้เดี๋ยวจะรีบไปรีบกลับ หลังจากที่เพื่อนออกไปจากห้องคนที่ไม่สบายก็นั่งอ่านหนังสือต่ออ่านได้ซักพักก็ไม่ไหว เพราะไข้ขึ้น จึงนอนตอนนอนอยู่นั้นสลึมสลืออยู่ แต่มีความรู้สึกว่านานมากแล้ว
เพื่อนทำไมยังไม่กลับมาซะทีตกดึก ฝนเริ่มตก นักศึกษาคนนั้นก็ตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือต่อในใจเป็นห่วงเพื่อนเพราะออกไปนานมากยังไม่กลับ ซักพักนักศึกษาคนนั้นได้ยินเสียงเบาๆ ดังจากชั้นล่าง จากทางบันได ”ป๊อก…………ป๊อก………ป๊อก………ป๊อก…….” เสียงนั้นดังเป็นระยะๆ ใกล้เข้ามาจากทางบันได ดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงเหมือนคนกำลังแบกของหนักบางอย่างขึ้นมาและเสียงนั้นก็ดังมาจนถึงชั้นที่ห้องนักศึกษาหญิงคนนั้นอยู่ แล้วเสียงก็เปลี่ยนไป “ครื……..ด……..ครื………..ด…….ค..รื…ด” เสียงเหมือนคนกำลังลากอะไรซักอย่างใกล้เข้ามาเรื่อย จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง
นักศึกษาหญิงเริ่มเอะใจ และมองไปทางประตู ในใจนึกว่าเพื่อนกลับมาแล้ว แต่ยังเงียบ ได้อึดใจนึงก็มีเสียงเคาะห้อง“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” แล้วเงียบไป นักศึกษาสะดุ้งสุดตัว คิดว่าไม่ใช่เพื่อนแน่แล้ว ถ้างั้นทำไมไม่เปิดเข้ามาเลย จึงเดินไปเปิดประตู ตรงลูกบิดประตูมีถุงใส่ห่อลาดหน้าแขวนอยู่ พอเห็นห่อลาดหน้า ก็งง แล้วเพื่อนอยู่ไหน ทำไมไม่กลับมา หรือติดฝนเลยฝากคนอื่นเอามาให้ แต่ทำไมต้องเอามาแขวนไม่รอเจอกันก่อน จะได้รู้ว่าเป็นใคร แล้วทำไมเดินเร็วจัง มีแต่รอยเปียกน้ำเป็นทางจากบันได….คิดต่างๆนา แต่แล้วก็แกะห่อลาดหน้าออกทานเสร็จก็ทานยาตาม
ได้ซักพักก็ม่อยหลับไปรุ่งเช้า…………….มีคนมาเคาะห้องบอกว่าเพื่อนตายแล้ว นักศึกษาหญิงคนนั้นถูกฆ่าข่มขืนตรงพงหญ้าข้างทางคาดว่าเหตุเกิดประมาณหัวค่ำ ลักษณะศพสภาพแขนและขาทั้งสองข้างหักอาจเกิดจากการที่คนร้ายเอาท่อนไม้ทุบตีเพื่อไม่ให้หนี นักศึกษาหญิงที่ตายกำลังเดินทางกลับจากตลาด(ไม่แน่ใจว่าเป็นฝายหินหรือตลาดต้นพะยอม)หลังจากทานข้าวเสร็จทุกทีจะไปกับเพื่อน แต่เพื่อนไม่สบายจึงไปคนเดียว
โดยเพื่อนฝากซื้อข้าวห่อคนร้ายอาจเห็นว่าเป็นคนเดียวจึงลงมือ แล้วลาดหน้าเมื่อคืนล่ะ?ไม่มีใครรู้คำตอบแน่ชัด แต่จากที่ฟังกันมาคือหลังจากที่ตายไปแล้ว ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนเพราะว่าไม่สบาย และยังหิว นำห่อลาดหน้าที่ซื้อ มาฝากไปส่งให้แต่จะไปส่งยังไง แขนหัก ขาหัก หมดแล้วลักษณะที่เขาเล่ามาคือพื่อนคนนั้นใช้ปากคาบถุงแล้วใช้คางเกยพาตัวเองมาจนถึงหอพักแล้วใช้คางเกยบันไดลากตัวเองขึ้นมา
เป็นเสียง“ป๊อก ป๊อก” เสียง “ครืด”ที่ได้ยินคือเสียงลากตัวเองจากบันได มาจนถึงหน้าห้องปรากฎเป็นรอยเปียกน้ำยาวติดต่อกันหลังจากส่งห่อลาดหน้าให้ได้แล้วก็หมดห่วง….
ตอนแรกทุกคนไม่เชื่อที่นักศึกษาคนนั้นเล่าแต่หลังจากที่นักศึกษาที่พักอยู่ข้างๆห้องยืนยันว่าในคืนนั้นได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังยกของหนักและลากของหนักจากข้างล่างขึ้นมาแล้วทุกคนต่างเชื่อสนิทใจมิตรภาพอยู่เหนือความตาย….
ระยะเวลาที่เกิดเหตุการณ์ไม่ทราบแน่ชัดแต่สถานที่เกิดคือ หอหญิง ในสมัยที่มหาลัย ยังเป็นที่รกร้างอยู่มาก ถนนยังเป็นลูกรังถนนหน้าฝนเป็นโคลน รถไปมาลำบาก ตอนกลางคืนมืด ไม่มีแสงไฟ เรื่องเกิดกับ นักศึกษาสาว คู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ประมาณ ชั้น 2 หรือ 3ของหอ ช่วงนั้นเป็นช่วงสอบ นักศึกษาต่างกำลังอ่านหนังสือกันอยู่ ประมาณว่านักศึกษาหญิงคนหนึ่งไม่สบาย
อ่านหนังสือในห้องตอนหัวค่ำแล้วรูมเมทชวนไปทานข้าว แต่เพราะเป็นไข้อยู่จึงไปไม่ไหว อยากพักผ่อน พอเมทคนนั้นเห็นเพื่อนไม่สบาย ด้วยความเป็นห่วง จึงบอกว่าเดี๋ยวไปทานข้าวเองก็ได้ แล้วจะห่อข้าวมาฝากเพื่อนคนที่ไม่สบายก็บอกว่า ยังไงฝากซื้อลาดหน้า (หรือผัดไทซักอย่างที่เป็นเส้นๆ) มาให้ทีละกันกินแล้วจะได้กินยา เมทคนนั้นก็บอกว่าได้เดี๋ยวจะรีบไปรีบกลับ หลังจากที่เพื่อนออกไปจากห้องคนที่ไม่สบายก็นั่งอ่านหนังสือต่ออ่านได้ซักพักก็ไม่ไหว เพราะไข้ขึ้น จึงนอนตอนนอนอยู่นั้นสลึมสลืออยู่ แต่มีความรู้สึกว่านานมากแล้ว
เพื่อนทำไมยังไม่กลับมาซะทีตกดึก ฝนเริ่มตก นักศึกษาคนนั้นก็ตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือต่อในใจเป็นห่วงเพื่อนเพราะออกไปนานมากยังไม่กลับ ซักพักนักศึกษาคนนั้นได้ยินเสียงเบาๆ ดังจากชั้นล่าง จากทางบันได ”ป๊อก…………ป๊อก………ป๊อก………ป๊อก…….” เสียงนั้นดังเป็นระยะๆ ใกล้เข้ามาจากทางบันได ดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงเหมือนคนกำลังแบกของหนักบางอย่างขึ้นมาและเสียงนั้นก็ดังมาจนถึงชั้นที่ห้องนักศึกษาหญิงคนนั้นอยู่ แล้วเสียงก็เปลี่ยนไป “ครื……..ด……..ครื………..ด…….ค..รื…ด” เสียงเหมือนคนกำลังลากอะไรซักอย่างใกล้เข้ามาเรื่อย จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง
นักศึกษาหญิงเริ่มเอะใจ และมองไปทางประตู ในใจนึกว่าเพื่อนกลับมาแล้ว แต่ยังเงียบ ได้อึดใจนึงก็มีเสียงเคาะห้อง“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” แล้วเงียบไป นักศึกษาสะดุ้งสุดตัว คิดว่าไม่ใช่เพื่อนแน่แล้ว ถ้างั้นทำไมไม่เปิดเข้ามาเลย จึงเดินไปเปิดประตู ตรงลูกบิดประตูมีถุงใส่ห่อลาดหน้าแขวนอยู่ พอเห็นห่อลาดหน้า ก็งง แล้วเพื่อนอยู่ไหน ทำไมไม่กลับมา หรือติดฝนเลยฝากคนอื่นเอามาให้ แต่ทำไมต้องเอามาแขวนไม่รอเจอกันก่อน จะได้รู้ว่าเป็นใคร แล้วทำไมเดินเร็วจัง มีแต่รอยเปียกน้ำเป็นทางจากบันได….คิดต่างๆนา แต่แล้วก็แกะห่อลาดหน้าออกทานเสร็จก็ทานยาตาม
ได้ซักพักก็ม่อยหลับไปรุ่งเช้า…………….มีคนมาเคาะห้องบอกว่าเพื่อนตายแล้ว นักศึกษาหญิงคนนั้นถูกฆ่าข่มขืนตรงพงหญ้าข้างทางคาดว่าเหตุเกิดประมาณหัวค่ำ ลักษณะศพสภาพแขนและขาทั้งสองข้างหักอาจเกิดจากการที่คนร้ายเอาท่อนไม้ทุบตีเพื่อไม่ให้หนี นักศึกษาหญิงที่ตายกำลังเดินทางกลับจากตลาด(ไม่แน่ใจว่าเป็นฝายหินหรือตลาดต้นพะยอม)หลังจากทานข้าวเสร็จทุกทีจะไปกับเพื่อน แต่เพื่อนไม่สบายจึงไปคนเดียว
โดยเพื่อนฝากซื้อข้าวห่อคนร้ายอาจเห็นว่าเป็นคนเดียวจึงลงมือ แล้วลาดหน้าเมื่อคืนล่ะ?ไม่มีใครรู้คำตอบแน่ชัด แต่จากที่ฟังกันมาคือหลังจากที่ตายไปแล้ว ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนเพราะว่าไม่สบาย และยังหิว นำห่อลาดหน้าที่ซื้อ มาฝากไปส่งให้แต่จะไปส่งยังไง แขนหัก ขาหัก หมดแล้วลักษณะที่เขาเล่ามาคือพื่อนคนนั้นใช้ปากคาบถุงแล้วใช้คางเกยพาตัวเองมาจนถึงหอพักแล้วใช้คางเกยบันไดลากตัวเองขึ้นมา
เป็นเสียง“ป๊อก ป๊อก” เสียง “ครืด”ที่ได้ยินคือเสียงลากตัวเองจากบันได มาจนถึงหน้าห้องปรากฎเป็นรอยเปียกน้ำยาวติดต่อกันหลังจากส่งห่อลาดหน้าให้ได้แล้วก็หมดห่วง….
ตอนแรกทุกคนไม่เชื่อที่นักศึกษาคนนั้นเล่าแต่หลังจากที่นักศึกษาที่พักอยู่ข้างๆห้องยืนยันว่าในคืนนั้นได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังยกของหนักและลากของหนักจากข้างล่างขึ้นมาแล้วทุกคนต่างเชื่อสนิทใจมิตรภาพอยู่เหนือความตาย….
เจ้าที่มาเตือน
วันนี้เรามีอีกหนึ่งประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟังค่ะ
เหตุการณ์นี้ก้อเกิดขึ้นกับตัวเราอีกเช่นเคยค่ะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 ปีก่อนน่ะค่ะ คือตอนนั้นลูกชายเราอายุยังไม่ถึง 1 ขวบเลยค่ะ เราไม่ได้ทำงานนะคะ เพราะว่าต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูก แต่การเลี้ยงลูกเอง กลับทำให้เราเหนื่อยยิ่งกว่าการต้องออกไปทำงานข้างนอกอีก เพราะจะต้องดูแลลูกเกือบจะ 24 ชม. ต่อวัน คือพอดีว่าวันนั้น หลังจากที่เราเอาลูกเรานอนกลางวัน เราก้อมาเริ่มทำงานบ้าน เก็บกวาด
เช็ดถูบ้านทำงานไปเรื่อยเปื่อย แล้วก้อนึกขึ้นมาได้ว่า เรายังไม่ได้ต้มขวดนมลูกเลย เราก้อเลยจัดการนำขวดนมกับอุปกรณ์ปั๊มนมของลูกมาทำความสะอาดแล้วก้อต้มรวมกัน แล้วเราก้อมานั่งเล่นประมาณว่าจะรอให้มันเดือดแล้วจะไปปิด ปรากฏว่าด้วยความที่เหนื่อยมากๆ เราก้อเผลอหลับไป นานเท่าไรไม่รู้ได้ แต่แล้วก้อมีเสียงมาเรียกชื่อเราให้ตื่น บอกว่าตื่นเดี๋ยวนี้นะ มาเรียกอยู่ 2-3 รอบ รอบแรกเรารู้สึกแค่ว่ามีเสียงคนมาเรียกแต่ไม่ได้สนใจ คิดว่าฝันอยู่ แต่เสียงก้อยังดังอยู่ เราก้อเลยลืมตาตื่น ปรากฏว่า พอลืมตาขึ้นมา บ้านทั้งบ้านมีแต่ควันโขมงเลยค่ะ
เราก้อตกใจ แล้วก้อรีบมาดูที่เตา ก้อมาเจอหม้อที่เราต้มขวดนมกับต้มที่ปั๊มนมของลูก ไหม้หมดเลยไม่ว่าจะขวดนมหรอที่ปั๊มนมไหม้แห้งติดกับหม้อเลยค่ะ แถมใกล้กันก้อมีกระดาษเช็ดมือเราวางไว้ในครัว คืออยู่ใกล้กับเตามากๆ ตอนนั้นยังกลัวเลยว่าจะติดไฟ พอสงบสติอารมณ์เรื่องไฟได้ เราก้อมานั่งคิดว่าเอเมื่อกี้ใครนะที่มาเรียกให้เราตื่น เพราะว่าบ้านทั้งบ้านนอกจากเราก้อมีแค่ลูกชายที่อยู่ในบ้านเท่านั้น
ซึ่งลูกชายก้อยังพูดไม่ได้ด้วยซ้ำไป แถมยังนอนหลับอยู่ในห้องนอนไม่รู้เรื่องอีกต่างหาก แล้วใครล่ะคะที่มาปลุกเรา?
เหตุการณ์นี้ก้อเกิดขึ้นกับตัวเราอีกเช่นเคยค่ะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 ปีก่อนน่ะค่ะ คือตอนนั้นลูกชายเราอายุยังไม่ถึง 1 ขวบเลยค่ะ เราไม่ได้ทำงานนะคะ เพราะว่าต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูก แต่การเลี้ยงลูกเอง กลับทำให้เราเหนื่อยยิ่งกว่าการต้องออกไปทำงานข้างนอกอีก เพราะจะต้องดูแลลูกเกือบจะ 24 ชม. ต่อวัน คือพอดีว่าวันนั้น หลังจากที่เราเอาลูกเรานอนกลางวัน เราก้อมาเริ่มทำงานบ้าน เก็บกวาด
เช็ดถูบ้านทำงานไปเรื่อยเปื่อย แล้วก้อนึกขึ้นมาได้ว่า เรายังไม่ได้ต้มขวดนมลูกเลย เราก้อเลยจัดการนำขวดนมกับอุปกรณ์ปั๊มนมของลูกมาทำความสะอาดแล้วก้อต้มรวมกัน แล้วเราก้อมานั่งเล่นประมาณว่าจะรอให้มันเดือดแล้วจะไปปิด ปรากฏว่าด้วยความที่เหนื่อยมากๆ เราก้อเผลอหลับไป นานเท่าไรไม่รู้ได้ แต่แล้วก้อมีเสียงมาเรียกชื่อเราให้ตื่น บอกว่าตื่นเดี๋ยวนี้นะ มาเรียกอยู่ 2-3 รอบ รอบแรกเรารู้สึกแค่ว่ามีเสียงคนมาเรียกแต่ไม่ได้สนใจ คิดว่าฝันอยู่ แต่เสียงก้อยังดังอยู่ เราก้อเลยลืมตาตื่น ปรากฏว่า พอลืมตาขึ้นมา บ้านทั้งบ้านมีแต่ควันโขมงเลยค่ะ
เราก้อตกใจ แล้วก้อรีบมาดูที่เตา ก้อมาเจอหม้อที่เราต้มขวดนมกับต้มที่ปั๊มนมของลูก ไหม้หมดเลยไม่ว่าจะขวดนมหรอที่ปั๊มนมไหม้แห้งติดกับหม้อเลยค่ะ แถมใกล้กันก้อมีกระดาษเช็ดมือเราวางไว้ในครัว คืออยู่ใกล้กับเตามากๆ ตอนนั้นยังกลัวเลยว่าจะติดไฟ พอสงบสติอารมณ์เรื่องไฟได้ เราก้อมานั่งคิดว่าเอเมื่อกี้ใครนะที่มาเรียกให้เราตื่น เพราะว่าบ้านทั้งบ้านนอกจากเราก้อมีแค่ลูกชายที่อยู่ในบ้านเท่านั้น
ซึ่งลูกชายก้อยังพูดไม่ได้ด้วยซ้ำไป แถมยังนอนหลับอยู่ในห้องนอนไม่รู้เรื่องอีกต่างหาก แล้วใครล่ะคะที่มาปลุกเรา?
วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
มาช่วยเฝ้า...
สวัสดีครับพี่ๆทีมงานทุกๆคน...บ้านผมอยู่อำเภอหนึ่งในฉะเชิงเทราแล้วก้อยู่ใกล้วัดเสียด้วย
ผมไปๆมาที่วัดนี้อยู่บ่อยและสนิทกับพระในวัดมีอยู่วันหนึ่ง..พระท่านจะต้องเดินทางไปปริวาส(อยู่กรรม)ที่จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ท่านจึงให้ผมและเพื่อนๆไปนอนเฝ้าวัดเนื่องจากพระท่านไปกันเกือบหมดวัดวันนั้นผมและเพื่อนๆได้ไปอยู่วัดตั้งแต่หัวค่ำเพราะจะต้องไปส่งพระไปประจวบตอนเวลาตีสาม กว่าจะถึงประจวบก็เช้า พอส่งเสร็จก็กลับฉะเชิงเทรากันเลยกลับมาถึงก็เกือบเย็นแล้วต่างคนต่างแยกย้ายกลับบ้านอาบน้ำกินข้าวเพราะกลางคืนต้องมานอนเฝ้าวัด
ผมได้ออกจากบ้านเวลาสามทุ่มครึ่งได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์มาถึงวัดก็เห็นหมานนอนอยู่เป็นจำนวนหลายตัว เมื่อขี่รถผ่านหมาก็วิ่งไล่จนมาถึงช่วงที่ต้องผ่านต้นมะขามใหญ่อยู่ๆหมาก็หยุดวิ่งไล่ แล้ววิ่งไปล้อมวงเห่าที่ต้นมะขามช่วงเวลานั้นผมก็เริ่มใจไม่ค่อยดี รู้สึกหวาดๆ ก็รีบขี่มอเตอร์ไซค์ไปหาเพื่อนที่รออยู่กุฏิ(กุฏินี้มีสามห้องห้องกลางมีเสาตกน้ำมัน และประตูห้องกลางตรงกับประตูโบสถ์และเคยมีประสบการณ์หลายครั้งจึงไปรวมกันอยู่ห้องแรกห้องเดียว)พอขี่ไปเกือบถึงกุฏิ ก็เห็นเพื่อนสองคนขี่มอเตอร์ไซค์ออกมาจากปากทางวัดอีกทางหนึ่งมันหันรถกลับทันที
ผมก็ตะโกนถามเพื่อนสองคนนั้นว่า "ไปใหน "มันบอกว่า" เห็นผู้หญิงสองคนยืนอยู่ตรงต้นพิกุลปากทางวัด"ผมไม่ได้เอะใจอะไร ผมก็เลยไปนั่งรออยู่ที่กุฏิ พอเพื่อนสองคนกลับมาผมก็ถามว่า " ผู้หญิงสองคนนั้นสวยมั้ยว่ะ" มันก็บอกว่า " หาผู้หญิงสองคนนั้นไม่เจอ คนอะไรเดินเร็วฉิบหาย"แล้วผมก็บอก " สงสัยมีคนรับไปแล้วมั้ง "เพื่อนก็บอกกลับมาว่า " กุไปถึงถนนใหญ่ไม่เห็นมีรถซักคันเลย "(จากปากทางวัดถึงกุฏิระยะประมาณสามสิบเมตรแล้วเป็นทางตรงด้วย)ผมก็รู้สึกกลัวคิดว่าต้องมีอะไรแปลกแย่ๆเพราะเมื่อกี้ตรงต้นมะขามใหญ่ก็ทีนึงแล้วเวลาประมาณเที่ยงคืน...ก็เริ่มรู้สึกหิว
ผมและเพื่อนๆก็ลงมาจากกุฏิเพื่อไปต้มข้าวต้มกินกันระหว่างที่กินอยู่นั้นเพื่อนคนหนึ่งได้หันไปเห็นผู้หญิงใส่สไบยืนโบกมือแล้วยิ้มให้(ตรงนั้นเป็นศาลเก่า)เพื่อนคนนั้นก็ตกใจแล้วหันมาพูดให้เพื่อนๆฟังพอผมและเพื่อนๆคนอื่นหันไปดูก็ไม่เห็นอะไรก็นั่งกินข้าวต่อนึกว่าเพื่อนคนนั้นมันล้อเล่นพอกินข้าวกันเสร็จก็ขึ้นไปบนกุฏินั่งคุยกันถึงเรื่องที่เห็นผู้หญิงใส่สไบแล้วเรื่องตรงต้นพิกุล
เพื่อนสองคนที่เห็นผู้หญิงสองคนยืนอยู่ก็ชวนผมลงไปดูตรงต้นพิกุลอีกรอบแล้วสามคนก็เดินไปดูอยู่ตรงหน้ากุฏิ พอผมหันไปมองที่ต้นพิกุลผมก็เห็นผู้หญิงห้อยหัวลงมาจากต้นพิกุลผมเธอยาวถึงพื้นผมก็วิ่งขึ้นบนกุฏิอย่างไม่คิดอะไรเลยพอเพื่อนผมเห็นผมวิ่งมันก็วิ่งตามขึ้นไปด้วยแล้วเพื่อนก็ถามว่า
"เห็นอะไรว่ะ"ผมเลยเล่าให้เพื่อนๆฟังในสิ่งที่ผมเห็นทั้งหมดตั้งแต่ที่ต้นมะขามใหญ่ตอนที่มาวัดและที่ผมเห็นที่ต้นพิกุลเมื้อกี๊คืนนั้น..ผมและเพื่อนๆไม่ได้หลับได้นอนกันทั้งคืนเลยจนพระท่านกลับมาก้เล่าเรื่องให้พระฟังแล้วท่านก็บอกว่า " คงไม่มีหรอกมั้ง เค้าคงมาช่วยเฝ้าวัดด้วย "จบแล้วครับ
ผมไปๆมาที่วัดนี้อยู่บ่อยและสนิทกับพระในวัดมีอยู่วันหนึ่ง..พระท่านจะต้องเดินทางไปปริวาส(อยู่กรรม)ที่จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ท่านจึงให้ผมและเพื่อนๆไปนอนเฝ้าวัดเนื่องจากพระท่านไปกันเกือบหมดวัดวันนั้นผมและเพื่อนๆได้ไปอยู่วัดตั้งแต่หัวค่ำเพราะจะต้องไปส่งพระไปประจวบตอนเวลาตีสาม กว่าจะถึงประจวบก็เช้า พอส่งเสร็จก็กลับฉะเชิงเทรากันเลยกลับมาถึงก็เกือบเย็นแล้วต่างคนต่างแยกย้ายกลับบ้านอาบน้ำกินข้าวเพราะกลางคืนต้องมานอนเฝ้าวัด
ผมได้ออกจากบ้านเวลาสามทุ่มครึ่งได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์มาถึงวัดก็เห็นหมานนอนอยู่เป็นจำนวนหลายตัว เมื่อขี่รถผ่านหมาก็วิ่งไล่จนมาถึงช่วงที่ต้องผ่านต้นมะขามใหญ่อยู่ๆหมาก็หยุดวิ่งไล่ แล้ววิ่งไปล้อมวงเห่าที่ต้นมะขามช่วงเวลานั้นผมก็เริ่มใจไม่ค่อยดี รู้สึกหวาดๆ ก็รีบขี่มอเตอร์ไซค์ไปหาเพื่อนที่รออยู่กุฏิ(กุฏินี้มีสามห้องห้องกลางมีเสาตกน้ำมัน และประตูห้องกลางตรงกับประตูโบสถ์และเคยมีประสบการณ์หลายครั้งจึงไปรวมกันอยู่ห้องแรกห้องเดียว)พอขี่ไปเกือบถึงกุฏิ ก็เห็นเพื่อนสองคนขี่มอเตอร์ไซค์ออกมาจากปากทางวัดอีกทางหนึ่งมันหันรถกลับทันที
ผมก็ตะโกนถามเพื่อนสองคนนั้นว่า "ไปใหน "มันบอกว่า" เห็นผู้หญิงสองคนยืนอยู่ตรงต้นพิกุลปากทางวัด"ผมไม่ได้เอะใจอะไร ผมก็เลยไปนั่งรออยู่ที่กุฏิ พอเพื่อนสองคนกลับมาผมก็ถามว่า " ผู้หญิงสองคนนั้นสวยมั้ยว่ะ" มันก็บอกว่า " หาผู้หญิงสองคนนั้นไม่เจอ คนอะไรเดินเร็วฉิบหาย"แล้วผมก็บอก " สงสัยมีคนรับไปแล้วมั้ง "เพื่อนก็บอกกลับมาว่า " กุไปถึงถนนใหญ่ไม่เห็นมีรถซักคันเลย "(จากปากทางวัดถึงกุฏิระยะประมาณสามสิบเมตรแล้วเป็นทางตรงด้วย)ผมก็รู้สึกกลัวคิดว่าต้องมีอะไรแปลกแย่ๆเพราะเมื่อกี้ตรงต้นมะขามใหญ่ก็ทีนึงแล้วเวลาประมาณเที่ยงคืน...ก็เริ่มรู้สึกหิว
ผมและเพื่อนๆก็ลงมาจากกุฏิเพื่อไปต้มข้าวต้มกินกันระหว่างที่กินอยู่นั้นเพื่อนคนหนึ่งได้หันไปเห็นผู้หญิงใส่สไบยืนโบกมือแล้วยิ้มให้(ตรงนั้นเป็นศาลเก่า)เพื่อนคนนั้นก็ตกใจแล้วหันมาพูดให้เพื่อนๆฟังพอผมและเพื่อนๆคนอื่นหันไปดูก็ไม่เห็นอะไรก็นั่งกินข้าวต่อนึกว่าเพื่อนคนนั้นมันล้อเล่นพอกินข้าวกันเสร็จก็ขึ้นไปบนกุฏินั่งคุยกันถึงเรื่องที่เห็นผู้หญิงใส่สไบแล้วเรื่องตรงต้นพิกุล
เพื่อนสองคนที่เห็นผู้หญิงสองคนยืนอยู่ก็ชวนผมลงไปดูตรงต้นพิกุลอีกรอบแล้วสามคนก็เดินไปดูอยู่ตรงหน้ากุฏิ พอผมหันไปมองที่ต้นพิกุลผมก็เห็นผู้หญิงห้อยหัวลงมาจากต้นพิกุลผมเธอยาวถึงพื้นผมก็วิ่งขึ้นบนกุฏิอย่างไม่คิดอะไรเลยพอเพื่อนผมเห็นผมวิ่งมันก็วิ่งตามขึ้นไปด้วยแล้วเพื่อนก็ถามว่า
"เห็นอะไรว่ะ"ผมเลยเล่าให้เพื่อนๆฟังในสิ่งที่ผมเห็นทั้งหมดตั้งแต่ที่ต้นมะขามใหญ่ตอนที่มาวัดและที่ผมเห็นที่ต้นพิกุลเมื้อกี๊คืนนั้น..ผมและเพื่อนๆไม่ได้หลับได้นอนกันทั้งคืนเลยจนพระท่านกลับมาก้เล่าเรื่องให้พระฟังแล้วท่านก็บอกว่า " คงไม่มีหรอกมั้ง เค้าคงมาช่วยเฝ้าวัดด้วย "จบแล้วครับ
ลุยบ้านร้าง
สวัสดีคัฟพี่TheShockและเพิ่ลที่ฟังด้วยนะคัฟ
ผมชื่อว่าอาร์ตคัฟเปงอาสาสมัครกู้ภัยอยู่ฒูลนิธิป่อเต๊กตึ๊งวเละ ศูนย์วิทยุมีนบุรีผมมีเรื่องจะมาเล่าไห้ฟังเรื่องมันเกิดขึ้น เมื่อ วานนี้เองเพื่อนผมมันชวนผมกะ เพิ่ลๆอีก ประมาน2-4คนไปบ้านรางแถวๆนิมิตรใหม่ได้ข่าวว่า มันเป็นบ้านร้างมีคนตาย ถึง 6ศพเเละมีคนเจอวิญญานผมเป็นคนที่ชอบเรื่องอย่างนี้อยู่เเล้วเลยนัดกัลไปว่า คืนนี้ตอน 23.00น เราจะออกเดินทาง
และต้องถึงก่อนเวลา เที่ยงคืน เราออกเดินทางตอนเวลา 23.00 กว่าๆไปถึงก้อประมาน 23.30 นเพราะไม่ไกลจากบ้านมากนักสภาพบ้านเป็นคล้ายบ้านแบบ ทาวเฮ้า คือมีเรียงๆกัลไปประมาน 5หลังก่อนเข้าบ้านผมถามความสมัครใจของเพิ่ลก่อนเเล้วว่า ใครจะเข้าก้อเข้าใครไม่เข้าให้รออยู่ข้างนอก เเล้วกัลมีไรไห้เรียกชื่อผมดังๆแล้วผมจะไปหา เพราะผมเปงคนไม่กลัวผีอยู่เเล้วพวกเราเข้าไปกัล 4คนมีผมมเเละเพื่อนอีก 3คนรุ่นน้องคนนึง
มันปาก บอนดันไปท้าว่า ท่าบ้านนี้มีผีขอให้ออกมาที จะได้ขอหวยพี่คัฟ พุดไม่ทัรขาดคำ มีเสียงคนวิ่งขึ้นบนบรรได แต่ที่แปลกใจ มันไม่มีบรรไดขึ้นชั้น2 ผมเริ่มรับรู้ว่าเขามาตามคำขอของเพื่อนผมเเล้วตอนที่เราเดินสำรจในบ้าน ก้อมีเสียงคนเดินตาม เเละมีคนขว้างก้อนหิน
ลงมาจากข้างบน ตลอดเวลาผมเลยท้าไห้เพื่อนๆมันลองทำวิธีเห็นผี ลองมองลอดใต้หว่างขาแล้วสิ่งที่เพื่อนผมมันท้าก้อคือ เห็น ผู้หญิง ใส่ชุดสีขาว มายืนมองพวกเราอยู่พอมันเห็นแค่นั้นมันวิ่ง หนีออกมานอกบ้าน เเล้ว ก้อรีบขับมอไชค์ของมันกลับบ้านแต่ มันขับได้ไม่ไกล รถมันดับผทมเลยวิ่งเข้าไปถามมันว่าเจออะไรมันก้อเล่าไหเผมฟังผมเลยบอกว่า
กลับเข้าไปในบ้านเเล้วจุดธูปขอขมาเขาก่อนเพราะมันได้ไปพุดอวดดีกะเขาใว้........................................................................
ผมชื่อว่าอาร์ตคัฟเปงอาสาสมัครกู้ภัยอยู่ฒูลนิธิป่อเต๊กตึ๊งวเละ ศูนย์วิทยุมีนบุรีผมมีเรื่องจะมาเล่าไห้ฟังเรื่องมันเกิดขึ้น เมื่อ วานนี้เองเพื่อนผมมันชวนผมกะ เพิ่ลๆอีก ประมาน2-4คนไปบ้านรางแถวๆนิมิตรใหม่ได้ข่าวว่า มันเป็นบ้านร้างมีคนตาย ถึง 6ศพเเละมีคนเจอวิญญานผมเป็นคนที่ชอบเรื่องอย่างนี้อยู่เเล้วเลยนัดกัลไปว่า คืนนี้ตอน 23.00น เราจะออกเดินทาง
และต้องถึงก่อนเวลา เที่ยงคืน เราออกเดินทางตอนเวลา 23.00 กว่าๆไปถึงก้อประมาน 23.30 นเพราะไม่ไกลจากบ้านมากนักสภาพบ้านเป็นคล้ายบ้านแบบ ทาวเฮ้า คือมีเรียงๆกัลไปประมาน 5หลังก่อนเข้าบ้านผมถามความสมัครใจของเพิ่ลก่อนเเล้วว่า ใครจะเข้าก้อเข้าใครไม่เข้าให้รออยู่ข้างนอก เเล้วกัลมีไรไห้เรียกชื่อผมดังๆแล้วผมจะไปหา เพราะผมเปงคนไม่กลัวผีอยู่เเล้วพวกเราเข้าไปกัล 4คนมีผมมเเละเพื่อนอีก 3คนรุ่นน้องคนนึง
มันปาก บอนดันไปท้าว่า ท่าบ้านนี้มีผีขอให้ออกมาที จะได้ขอหวยพี่คัฟ พุดไม่ทัรขาดคำ มีเสียงคนวิ่งขึ้นบนบรรได แต่ที่แปลกใจ มันไม่มีบรรไดขึ้นชั้น2 ผมเริ่มรับรู้ว่าเขามาตามคำขอของเพื่อนผมเเล้วตอนที่เราเดินสำรจในบ้าน ก้อมีเสียงคนเดินตาม เเละมีคนขว้างก้อนหิน
ลงมาจากข้างบน ตลอดเวลาผมเลยท้าไห้เพื่อนๆมันลองทำวิธีเห็นผี ลองมองลอดใต้หว่างขาแล้วสิ่งที่เพื่อนผมมันท้าก้อคือ เห็น ผู้หญิง ใส่ชุดสีขาว มายืนมองพวกเราอยู่พอมันเห็นแค่นั้นมันวิ่ง หนีออกมานอกบ้าน เเล้ว ก้อรีบขับมอไชค์ของมันกลับบ้านแต่ มันขับได้ไม่ไกล รถมันดับผทมเลยวิ่งเข้าไปถามมันว่าเจออะไรมันก้อเล่าไหเผมฟังผมเลยบอกว่า
กลับเข้าไปในบ้านเเล้วจุดธูปขอขมาเขาก่อนเพราะมันได้ไปพุดอวดดีกะเขาใว้........................................................................
วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
ใครคือวาสนา
เรื่องเกิดขึ้นว่าดิฉันไปผ่าตัดคลอดลูกที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งแถว ๆ
สวนลุมคงพอนึกออกนะว่าที่ไหน วันนั้นเป็นวันแรกที่เอาลูกมาเลี้ยงเอง ประมาณ 4 ทุ่มกว่าแล้วอยู่ดี ๆ ลูกก็ร้องไม่หยุดแม่ดิฉันเลยให้ไปนอนเดี๋ยวดูหลานให้เอง พอนอนได้สักพักฝันว่า อุ้มลูกหนีใครสักคนที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ปากก็ร้องตะโกนว่าอย่าเอาลูกฉันไป อย่าทำอะไรลูกฉัน แล้วก็ตกใจตื่น ได้ยินเสียงลูกร้องไม่หยุดอยู่ที่มุมห้องอีกด้านนึง จู่ จู่ ก็มีพยาบาล 3 คนเข็นกล่องเด้กเข้ามาแล้ว
พูดว่า "คุณวาสนาคะ เอาลูกมาส่งคะ" ดิฉันงงมากห้องนี้มีดิฉันแค่คนเดียว วาสนาคือใคร มองหน้าพยาบาลดูแปลก ๆ ดูคล้ำ ๆ ดำ ๆ พิกลก็เลยมองกล่องเด้กที่เค้าเข็นมา ในกล่องมีโหลเด็กดองอยู่ เท่านั้นแหละ ดิฉันก็ตัวชาหมดเลย ตอนนั้นดิฉันนอนตะแคงอยู่จะลุกขึ้นมาเหมือนมีใครล็อกแขนจากข้างหลัง ขณะนั้นในหูยังได้ยินเสียงลูกร้องอยู่ใกล้ ๆ พยายามเรียกแม่ให้มาช่วยแต่ไม่มีเสียงตอบรับจากใครเลย
ดิฉันไม่ได้มองเค้าตรง ๆ นะเพราะว่าเค้าอยู่ด้านหลัง แต่รู้สึกได้ว่าเค้าตัดผมหน้ามา ผมสั้น ใสเสื้อลายขวางสีขาวดำ น่าแปลกจริง ๆ ที่ดิฉันไม่ได้หันไปมองแต่นึกหน้าเค้าออก ยื้อกันอยู่สักพักโดยที่เค้าไม่พูดอะไรสักคำ แต่เค้าล็อกแขนแน่นมาก แล้วฉันก็ลืมตาหลุดจากภวังค์ มันเหมือนฝันแต่ดิฉันยืนยันว่าไม่ได้ฝันเป็นเรื่องจริงเพราะฉันยังรู้สึกเจ็บแขนอยู่เลย และในขณะที่เค้าล้อกแขนดิฉันอยู่เสียงลูกร้องยังดังอยู่ในหูฉันตลอดเวลา
พอลงจากเตียงได้ฉันก็ไปนอนที่โซฟาโดยที่ไม่บอกให้แม่รู้เดี๋ยวจะกลัว คืนนั้นดิฉันอุ้มลูกจนถึง 6 โมงเช้าด้วยความกลัวว่าใครจะมาทำอะไรลูก จนถึงวันนี้ก้ยังไม่มีใครรู้ว่า วาสนาคือใคร เค้ามาหาดิฉันเพราะต้องการอะไร พอออกจาโรงพยาบาลดิฉันก็เลยใส่บาตรไปให้เค้าเพื่อความสบายใจ แต่ที่แน่ ๆ ตอนอยู่โรงพยาบาล ตั้งแต่คืนนั้นดิฉันไม่เคยนอนที่เตียงคนไข้อีกเลย กลัว
สวนลุมคงพอนึกออกนะว่าที่ไหน วันนั้นเป็นวันแรกที่เอาลูกมาเลี้ยงเอง ประมาณ 4 ทุ่มกว่าแล้วอยู่ดี ๆ ลูกก็ร้องไม่หยุดแม่ดิฉันเลยให้ไปนอนเดี๋ยวดูหลานให้เอง พอนอนได้สักพักฝันว่า อุ้มลูกหนีใครสักคนที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ปากก็ร้องตะโกนว่าอย่าเอาลูกฉันไป อย่าทำอะไรลูกฉัน แล้วก็ตกใจตื่น ได้ยินเสียงลูกร้องไม่หยุดอยู่ที่มุมห้องอีกด้านนึง จู่ จู่ ก็มีพยาบาล 3 คนเข็นกล่องเด้กเข้ามาแล้ว
พูดว่า "คุณวาสนาคะ เอาลูกมาส่งคะ" ดิฉันงงมากห้องนี้มีดิฉันแค่คนเดียว วาสนาคือใคร มองหน้าพยาบาลดูแปลก ๆ ดูคล้ำ ๆ ดำ ๆ พิกลก็เลยมองกล่องเด้กที่เค้าเข็นมา ในกล่องมีโหลเด็กดองอยู่ เท่านั้นแหละ ดิฉันก็ตัวชาหมดเลย ตอนนั้นดิฉันนอนตะแคงอยู่จะลุกขึ้นมาเหมือนมีใครล็อกแขนจากข้างหลัง ขณะนั้นในหูยังได้ยินเสียงลูกร้องอยู่ใกล้ ๆ พยายามเรียกแม่ให้มาช่วยแต่ไม่มีเสียงตอบรับจากใครเลย
ดิฉันไม่ได้มองเค้าตรง ๆ นะเพราะว่าเค้าอยู่ด้านหลัง แต่รู้สึกได้ว่าเค้าตัดผมหน้ามา ผมสั้น ใสเสื้อลายขวางสีขาวดำ น่าแปลกจริง ๆ ที่ดิฉันไม่ได้หันไปมองแต่นึกหน้าเค้าออก ยื้อกันอยู่สักพักโดยที่เค้าไม่พูดอะไรสักคำ แต่เค้าล็อกแขนแน่นมาก แล้วฉันก็ลืมตาหลุดจากภวังค์ มันเหมือนฝันแต่ดิฉันยืนยันว่าไม่ได้ฝันเป็นเรื่องจริงเพราะฉันยังรู้สึกเจ็บแขนอยู่เลย และในขณะที่เค้าล้อกแขนดิฉันอยู่เสียงลูกร้องยังดังอยู่ในหูฉันตลอดเวลา
พอลงจากเตียงได้ฉันก็ไปนอนที่โซฟาโดยที่ไม่บอกให้แม่รู้เดี๋ยวจะกลัว คืนนั้นดิฉันอุ้มลูกจนถึง 6 โมงเช้าด้วยความกลัวว่าใครจะมาทำอะไรลูก จนถึงวันนี้ก้ยังไม่มีใครรู้ว่า วาสนาคือใคร เค้ามาหาดิฉันเพราะต้องการอะไร พอออกจาโรงพยาบาลดิฉันก็เลยใส่บาตรไปให้เค้าเพื่อความสบายใจ แต่ที่แน่ ๆ ตอนอยู่โรงพยาบาล ตั้งแต่คืนนั้นดิฉันไม่เคยนอนที่เตียงคนไข้อีกเลย กลัว
ตู้เสื้อผ้าสยอง
เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ของคุณน้าที่อยู่ต่างจังหวัดซึ่งเล่าให้เราฟัง
......คุณน้าได้ซื้อตู้เสื้อผ้าไม้หลัง1มาซึ่งสวยมากและราคาถูกตั้งไว้ที่ห้องเก็บของเพราะห้องนอนไม่มีที่เก็บ ตกดึกคืนหนึ่งคุณน้าเข้านอนแล้วได้ยินเหมือนมีคนเดินอยู่ที่ห้องเก็บของและคุณน้าก็ลองลุกไปดูแต่ไม่เห็นใครซึ่งทั้งคืนคุณน้าได้ยินเสียงคนเดินตลอดจนแทบไม่หลับ......
พอคืนที่2 ก็ได้ยินอีกลุกไปดูก็ไม่เห็นใครอีกคราวนี้คุณน้าลองเปิดประตูแง้มๆหน่อยและลองยืนดูข้างนอกเผื่อจะเห็นใครอยู่ในห้องเก็บของ.....เห็นจะๆกับตา มีทั้งผู้หญิงและผู้ชายเดินออกมาจากตู้เสื้อผ้าไปมาไปมาซึ่งเห็นไม่ชัดนักเพราะเป็นตอนกลางคืนแต่ยังพอเห็นลางๆอยู่คุณน้ารีบวิ่งไปห้องนอนคลุมโปงตอนเช้า ........คุณน้านิมนต์พระรูป1มาที่บ้านให้ดูตู้เสื้อผ้าหลังนั้นพระบอกว่า ประตูของตู้นี้ทำมาจากฝาโลงศพ
ซึ่งคุณน้าตกใจมากและจึงเอาไปถวายวัด..... เรื่องนี้อาจไม่ค่อยน่ากลัว แต่นำมาเล่าสู่กันฟังค่ะ ขอบคุณค่ะ
......คุณน้าได้ซื้อตู้เสื้อผ้าไม้หลัง1มาซึ่งสวยมากและราคาถูกตั้งไว้ที่ห้องเก็บของเพราะห้องนอนไม่มีที่เก็บ ตกดึกคืนหนึ่งคุณน้าเข้านอนแล้วได้ยินเหมือนมีคนเดินอยู่ที่ห้องเก็บของและคุณน้าก็ลองลุกไปดูแต่ไม่เห็นใครซึ่งทั้งคืนคุณน้าได้ยินเสียงคนเดินตลอดจนแทบไม่หลับ......
พอคืนที่2 ก็ได้ยินอีกลุกไปดูก็ไม่เห็นใครอีกคราวนี้คุณน้าลองเปิดประตูแง้มๆหน่อยและลองยืนดูข้างนอกเผื่อจะเห็นใครอยู่ในห้องเก็บของ.....เห็นจะๆกับตา มีทั้งผู้หญิงและผู้ชายเดินออกมาจากตู้เสื้อผ้าไปมาไปมาซึ่งเห็นไม่ชัดนักเพราะเป็นตอนกลางคืนแต่ยังพอเห็นลางๆอยู่คุณน้ารีบวิ่งไปห้องนอนคลุมโปงตอนเช้า ........คุณน้านิมนต์พระรูป1มาที่บ้านให้ดูตู้เสื้อผ้าหลังนั้นพระบอกว่า ประตูของตู้นี้ทำมาจากฝาโลงศพ
ซึ่งคุณน้าตกใจมากและจึงเอาไปถวายวัด..... เรื่องนี้อาจไม่ค่อยน่ากลัว แต่นำมาเล่าสู่กันฟังค่ะ ขอบคุณค่ะ
วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
คุยกะผี
สวัสดีคับทุก ๆคนและสวัสดีทีมงานเดอะช๊อกด้วยคับ
วันนี้ผมจะมาเหล่าประสบการณ์ที่ผมได้พบและเจอมาผมขอบอกก่อนเลยว่าเรื่องนี้แล้วแต่คับว่าใคร
จะเชื่อหรือไม่เชื่อมันแล้วแต่วิจารณ์นยานของคนฟังผมขอเหล่าเรื่องเลยนะคับ วันนั้นผมไปต่างจังหวัดที่จังหวัดศรีสะเกษนั้นคือบ้านพ่อผมเองคับทุก ๆปีในวันปีใหม่ผมก้จะกลับต่างจังหวัดกับพ่อและแม่เป็นประจำผมไปทุกปีก้ไม่เจอเรื่องลาวแปลก ๆเท่าไหร่
แต่พอมาปีนี้ผมรู้สึกว่ามันแปลกและแปลกมากคือมีวันหนึ่งเวลาประมาณตี2ผมตื่นขึ้นมาเพราะผมได้ยินเสียงคล้าย ๆว่าเหมือนมีเหงาดำ ๆลอยผ่านไปผ่านมาตรงหน้าต่าง
วันนี้ผมจะมาเหล่าประสบการณ์ที่ผมได้พบและเจอมาผมขอบอกก่อนเลยว่าเรื่องนี้แล้วแต่คับว่าใคร
จะเชื่อหรือไม่เชื่อมันแล้วแต่วิจารณ์นยานของคนฟังผมขอเหล่าเรื่องเลยนะคับ วันนั้นผมไปต่างจังหวัดที่จังหวัดศรีสะเกษนั้นคือบ้านพ่อผมเองคับทุก ๆปีในวันปีใหม่ผมก้จะกลับต่างจังหวัดกับพ่อและแม่เป็นประจำผมไปทุกปีก้ไม่เจอเรื่องลาวแปลก ๆเท่าไหร่
แต่พอมาปีนี้ผมรู้สึกว่ามันแปลกและแปลกมากคือมีวันหนึ่งเวลาประมาณตี2ผมตื่นขึ้นมาเพราะผมได้ยินเสียงคล้าย ๆว่าเหมือนมีเหงาดำ ๆลอยผ่านไปผ่านมาตรงหน้าต่าง
วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
ทำไมมันเปิดไม่ได้
สวัสดีครับ! เรื่องที่ผมจะเล่านั้นเกิดขึ้นกับเพื่อนและผมเองโดยตรง
ซึ่งอาจจะดูไม่น่ากลัวมากสักเท่าไหร่ครับ แต่สำหรับผมและเพื่อนแล้ว มันเป็นเรื่องที่แปลกและน่าขนลุกมากครับ โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเรียงเก่าผมตอนนั้นผมและเพื่อนประมาณ ม.6 ได้ ซึ่งโรงเรียนนี้ตั้งอยู่ที่ จ.สระบุรี ครับ เรื่องมีอยู่ว่า ผมและเพื่อน ได้ไปช่วยงานอาจารย์ที่ห้องสมุด กว่าจะเสร็จก็ประมาณ 6 โมงเย็นแล้วละครับ ซึ่งระหว่างขากลับเพื่อนผมนั้นกลับปวดท้องขึ้นมาเลยชวนผม ไปเข้าห้องน้ำ โดยห้องน้ำที่ผมไปนี้เป็นห้องน้ำที่ค่อนข้างเก่าพอสมควร แต่โดยรวมก็สะอาดนะ ซึ่งผมก็ไปด้วย เพราะผมก็รู้สึกปวดฉี่เหมือนกัน
เราทั้งสองคนจึงตัดสินใจเข้าห้องน้ำกัน เพื่อนผมเข้าห้องน้ำห้องที่ 2 จากทางขวาสุดของห้องน้ำส่วนผมก็ทำธุระของผมไป พอเสร็จธุระ ผมก็ไปล้างมือที่ก๊อกน้ำข้างนอก ระหว่างนั้นผมก็รู้สึกเหมือนมีลมพัดผ่านตัวผมไปแรงมาก แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไร ผมก็รอเพื่อนผมหน้าห้องน้ำ ซักประมาณ 5 นาทีผมเห็นว่าเริ่มจะมืดแล้วจึงตะโกนบอกเพื่อนอยู่หน้าห้องน้ำไปว่า เสร็จรึยังว่ะ! จะมืดแล้วนะเฟ้ย แปลกครับ! ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับจากเพื่อนผมข้างในห้องน้ำเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรแต่พอสัก 10 นาทีต่อมาเริ่มผิดปกติแล้ว
ผมจึงเข้าไปเคาะประตูหน้าห้องน้ำที่เพื่อนผมใช้อยู่ ปรากฏว่าเงียบเหมือนไม่มีใครอยู่ในห้องน้ำเลย แต่ประตูห้องน้ำนั้นก็ล๊อคอยู่ แสดงว่าเพื่อนผมก็ต้องอยู่สิ เพราะว่าไม่มีทางที่เพื่อนผมจะออกมาก่อนโดยที่ผมไม่เห้น เพราะผมรออยู่หน้าห้องน้ำนั้นตลอดเวลาและห้องน้ำนี้มีทางออกแค่ทางเดียวคือทางที่ผมรออยู่เท่านั้น ยังไงผมก็ต้องเห็น ผมพยายามเคาะประตูอยู่นานประมาณ 5 นาที ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับจากข้างในอีก พอขึ้นนาทีที่ 7 เริ่มได้ยินเสียงอื้ออึงว่า ช่วยด้วย! อย่างเบาๆ ใช่ครับ! เสียงเพื่อนผมแน่นอน ผมพยายามเคาะประตูและพยายามเปิดประตูอยุ่นาน 10 นาที
จึงตัดสินใจพังประตูเข้าไป ตกใจมากครับ!ผมเจอเพื่อนอยู่ในสภาพที่หมดเรี่ยวหมดแรงอย่างมาก ระหว่างทางเดินไปที่จอดรถมอเตอร์ไซต์ ผมก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น! เพื่อนผมจึงเล่าว่าพอตัวเขาทำธุระเสร็จ เขาก็มาคลายล๊อคที่ประตูเพื่ออกไปข้างนอก แต่ปรากฏว่าประตูเปิดไม่ออก เหมือนมีใครมาดึงประตูไว้ ซึ่งครั้งแรกเพื่อนผมคิดว่าผมแกล้ง ผมก็ตอบไปว่าไม่ได้แกล้ง เพื่อนผมบอกว่าเขาพยายามเรียกผมอยู่หลายครั้ง
แล้วถามผมว่ามรึงไม่ได้ยินเสียงกรูเลยหรอไงว่ะ! กรูตะโกนจนเส้นเสียงจะอักเสบแล้ว! ผมก็ตอบไปว่าไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แถมยังบอกต่อไปอีกว่านึกว่ามรึงปีนหน้าต่างห้องน้ำออกไปแล้วซะอีก เท่านั้นแหละ เพื่อนผมทรุดแล้วยังบอกกับผมอีกว่า ก่อนที่เขาจะหมดเรี่ยวหมดแรงเขาเห็นเงาดำๆ ผ่านที่หน้าต่างด้านบนด้วย เขาจึงเรียกผมว่าช่วยด้วย เพราะเขาคิดว่าตัวเขาเองคงเจอดีเข้าแน่ๆ จนประตูห้องน้ำเปิดออก และพอถึงที่จอดรถมอเตอร์ไซต์ เพื่อนผมและผมเหลือบมองไปที่ห้องน้ำนั้นอีกครั้ง ช๊อคครับ! ผมเห็นผู้ชายเดินเข้าห้องน้ำนั้นไปในสภาพที่ลอยเหมือนไม่มีขา
เท่านั้นแหละผมและเพื่อนผมรีบใส่ตีนสุนัขซ้อนมอเตอร์ไซต์เข้าบ้านนอนคลุมโปงเลยทั้งผมและเพื่อนเลย ซึ่งผมและเพื่อนก็ไม่เล่าให้ใครฟัง และคิดว่าจะไม่เข้าห้องน้ำตรงนั้นอีกแล้ว
ซึ่งอาจจะดูไม่น่ากลัวมากสักเท่าไหร่ครับ แต่สำหรับผมและเพื่อนแล้ว มันเป็นเรื่องที่แปลกและน่าขนลุกมากครับ โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเรียงเก่าผมตอนนั้นผมและเพื่อนประมาณ ม.6 ได้ ซึ่งโรงเรียนนี้ตั้งอยู่ที่ จ.สระบุรี ครับ เรื่องมีอยู่ว่า ผมและเพื่อน ได้ไปช่วยงานอาจารย์ที่ห้องสมุด กว่าจะเสร็จก็ประมาณ 6 โมงเย็นแล้วละครับ ซึ่งระหว่างขากลับเพื่อนผมนั้นกลับปวดท้องขึ้นมาเลยชวนผม ไปเข้าห้องน้ำ โดยห้องน้ำที่ผมไปนี้เป็นห้องน้ำที่ค่อนข้างเก่าพอสมควร แต่โดยรวมก็สะอาดนะ ซึ่งผมก็ไปด้วย เพราะผมก็รู้สึกปวดฉี่เหมือนกัน
เราทั้งสองคนจึงตัดสินใจเข้าห้องน้ำกัน เพื่อนผมเข้าห้องน้ำห้องที่ 2 จากทางขวาสุดของห้องน้ำส่วนผมก็ทำธุระของผมไป พอเสร็จธุระ ผมก็ไปล้างมือที่ก๊อกน้ำข้างนอก ระหว่างนั้นผมก็รู้สึกเหมือนมีลมพัดผ่านตัวผมไปแรงมาก แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไร ผมก็รอเพื่อนผมหน้าห้องน้ำ ซักประมาณ 5 นาทีผมเห็นว่าเริ่มจะมืดแล้วจึงตะโกนบอกเพื่อนอยู่หน้าห้องน้ำไปว่า เสร็จรึยังว่ะ! จะมืดแล้วนะเฟ้ย แปลกครับ! ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับจากเพื่อนผมข้างในห้องน้ำเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรแต่พอสัก 10 นาทีต่อมาเริ่มผิดปกติแล้ว
ผมจึงเข้าไปเคาะประตูหน้าห้องน้ำที่เพื่อนผมใช้อยู่ ปรากฏว่าเงียบเหมือนไม่มีใครอยู่ในห้องน้ำเลย แต่ประตูห้องน้ำนั้นก็ล๊อคอยู่ แสดงว่าเพื่อนผมก็ต้องอยู่สิ เพราะว่าไม่มีทางที่เพื่อนผมจะออกมาก่อนโดยที่ผมไม่เห้น เพราะผมรออยู่หน้าห้องน้ำนั้นตลอดเวลาและห้องน้ำนี้มีทางออกแค่ทางเดียวคือทางที่ผมรออยู่เท่านั้น ยังไงผมก็ต้องเห็น ผมพยายามเคาะประตูอยู่นานประมาณ 5 นาที ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับจากข้างในอีก พอขึ้นนาทีที่ 7 เริ่มได้ยินเสียงอื้ออึงว่า ช่วยด้วย! อย่างเบาๆ ใช่ครับ! เสียงเพื่อนผมแน่นอน ผมพยายามเคาะประตูและพยายามเปิดประตูอยุ่นาน 10 นาที
จึงตัดสินใจพังประตูเข้าไป ตกใจมากครับ!ผมเจอเพื่อนอยู่ในสภาพที่หมดเรี่ยวหมดแรงอย่างมาก ระหว่างทางเดินไปที่จอดรถมอเตอร์ไซต์ ผมก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น! เพื่อนผมจึงเล่าว่าพอตัวเขาทำธุระเสร็จ เขาก็มาคลายล๊อคที่ประตูเพื่ออกไปข้างนอก แต่ปรากฏว่าประตูเปิดไม่ออก เหมือนมีใครมาดึงประตูไว้ ซึ่งครั้งแรกเพื่อนผมคิดว่าผมแกล้ง ผมก็ตอบไปว่าไม่ได้แกล้ง เพื่อนผมบอกว่าเขาพยายามเรียกผมอยู่หลายครั้ง
แล้วถามผมว่ามรึงไม่ได้ยินเสียงกรูเลยหรอไงว่ะ! กรูตะโกนจนเส้นเสียงจะอักเสบแล้ว! ผมก็ตอบไปว่าไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แถมยังบอกต่อไปอีกว่านึกว่ามรึงปีนหน้าต่างห้องน้ำออกไปแล้วซะอีก เท่านั้นแหละ เพื่อนผมทรุดแล้วยังบอกกับผมอีกว่า ก่อนที่เขาจะหมดเรี่ยวหมดแรงเขาเห็นเงาดำๆ ผ่านที่หน้าต่างด้านบนด้วย เขาจึงเรียกผมว่าช่วยด้วย เพราะเขาคิดว่าตัวเขาเองคงเจอดีเข้าแน่ๆ จนประตูห้องน้ำเปิดออก และพอถึงที่จอดรถมอเตอร์ไซต์ เพื่อนผมและผมเหลือบมองไปที่ห้องน้ำนั้นอีกครั้ง ช๊อคครับ! ผมเห็นผู้ชายเดินเข้าห้องน้ำนั้นไปในสภาพที่ลอยเหมือนไม่มีขา
เท่านั้นแหละผมและเพื่อนผมรีบใส่ตีนสุนัขซ้อนมอเตอร์ไซต์เข้าบ้านนอนคลุมโปงเลยทั้งผมและเพื่อนเลย ซึ่งผมและเพื่อนก็ไม่เล่าให้ใครฟัง และคิดว่าจะไม่เข้าห้องน้ำตรงนั้นอีกแล้ว
วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
วันปล่อยผี
สวัสดีค่ะพี่ๆ ทีมงานเดอะช็อค และเพื่อนๆ สมาชิกทุกท่าน
เราเองก้อเป็นคนนึงที่ติดตามอ่านประสบการณ์สยองของเพื่อนๆ ท่านอื่นมานานแต่ยังไม่มีโอกาสได้เขียนเรื่องราวของตัวเองสักที วันนี้พอดีมีเวลาว่างๆ เลยอยากจะนำเรื่องของเรามาแชร์ให้คนอื่นๆ ได้รับทราบกันบ้างค่ะ ถ้าอ่านแล้วไม่เข้าใจก้อต้องขอโทษด้วยนะคะ เรื่องนี้จากประสบการณ์จริงของเราเองนะคะเริ่มเรื่องเลยนะคะ คือเมื่อ ปีก่อน 2007 เรามีโอกาสไปเที่ยวที่จีนซึ่งเป็นบ้านเกิดของแฟนเรา
(คือแฟนเราเป็นคนจีน อาศัยอยู่ในชนบทน่ะค่ะ) พอดีว่าช่วงที่ไปเป็นเดือนสิงหาคม ซึ่งถ้าจะนับไป ก้อคือเป็นช่วงที่เค้าจะปล่อยให้วิญญาณกลับมาเยี่ยมบ้านอะไรทำนองนั้นนะคะ ซึ่งถ้าจะเปรียบเทียบกับเทศกาลในเมืองไทยก้อจะเป็นช่วงเทศกาลเทกระจาดของบ้านเรา ช่วงที่เราไปนั้น ตรงกับวันที่ทางบ้านแฟนเค้าจะไหว้บรรพบุรุษของเค้า แต่เรากับแฟน ด้วยความที่ว่าปกติจะอยู่ออสเตรเลียกัน
จะมีโอกาสได้กลับไปก้อปีละ 1 ครั้ง แฟนก้อเลยอยากจะพาไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ของเค้า ซึ่งอยู่ต่างเมืองกัน ก้อเผอิญวันที่ไปเที่ยวก้อดันมาตรงกับ 1 วันก่อนจะถึงวันไหว้บรรพบุรุษ ซึ่งในวันไหว้บรรพบุรุษเค้าจะต้องทำพิธีไหว้กันในตอนเช้า แต่ในเช้าวันนั้นเรากับแฟนยังอยู่อีกเมืองนึงกับเพื่อนของแฟน พอช่วงเย็นเราได้เดินทางกลับมาบ้านของแฟน ซึ่งระหว่างทางนั่งรถกลับ เราได้บอกกับแฟนว่า เธอคืนนี้ปู่กับย่าเธอจะมาหาชั้นอีกหรือป่าวเนี่ย (คือเมื่อ 1 ปีก่อนหน้าที่เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเราไปบ้านแฟนเหมือนกันและได้มีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้น
แต่จะขอยกไปเล่าคราวหน้านะคะ) แฟนก้อบอกว่าอย่าคิดมากสิ ไม่มีอะไรหรอก และถึงมีก้อไม่น่ากลัวหรอก เพราะว่าวิญญาณที่จะมาหาก้อคือ ปู่ย่า ตายาย ของเค้า แหมดูเค้าพูดสิคะ ก้อใช่สิ เป็นปู่ย่า ตายายของตัวเองก้อไม่กลัวสิ แต่เราเป็นแค่สะใภ้ก้อต้องกลัวเป็นธรรมดาพอช่วงกลับไปถึงบ้านตอนหัวค่ำ เหตุการณ์ก้อยังปกตินะคะ จนกระทั่งดึก ต่างคน(หมายถึง พ่อแม่และพี่ชายพี่สะใภ้แฟน รวมถึงตัวเรากับแฟนด้วย) ก้อต่างแยกย้ายกันกลับห้องใครห้องมัน ซึ่งพี่ชายและพี่สะใภ้แฟนเนี่ยเค้าแยกกลับไปบ้านเค้าซึ่งปลูกใกล้ๆ บ้านของพ่อแม่แฟน
ส่วนพ่อแม่แฟนเค้ามีห้องนอนอยู่ชั้นล่างของบ้าน และห้องนอนของเรากับแฟนอยู่ส่วนด้านบนของบ้านนะคะ ซึ่งจะขออธิบายก่อนว่า บันไดของบ้านนี้เค้าจะสร้างแยกออกจากตัวบ้าน คือถ้าคุณจะขึ้นชั้นสอง พอคุณขึ้นบันไดมาปุ๊บจะเจอระเบียงบ้านก่อนเลย แล้วจากระเบียงก้อจะมีประตูเข้าไปในตัวบ้านอีกทีนึง ซึ่งพอเปิดประตูปุ๊บ คุณจะเจอห้องรับแขกก่อน แล้วจากห้องรับแขกเดินเข้าไปอีกนิดถึงจะเจอประตูห้องนอนของเรา ตอนนั้นคิดว่าเวลาประมาณ สี่ทุ่มกว่าๆ แต่สำหรับบ้านนอกนั้นบ้านอื่นๆ เค้าก้อเข้านอนกันตั้งแต่ 2 ทุ่มกว่าๆ แล้ว แถวนั้นจึงเงียบกันหมด
แต่ไอ้ที่ไม่เงียบก้อคือ หมาแถวบ้านซึ่งหอนกันจริงๆ จนทำให้เรารู้สึกกลัว เราก้อบอกกลับแฟนว่าเอาอีกแล้วไง มากันแล้ว สักพักเราก้อได้ยินเสียงเคาะประตู ซึ่งเสียงนี้ดังมาจากประตูระเบียงข้างนอกซึ่งล็อคกลอนอยู่นะคะ ตอนแรกก้อไม่ได้คิดอะไร คิดว่าพ่อแม่แฟนคงจะเอาน้ำหรือของกินเล่นมาให้ พอดีว่าเรากำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปอาบน้ำ เลยบอกกับแฟนว่า เธอไปเปิดประตูหน่อยมีคนมาเคาะประตู แฟนก้อบอกว่าไม่เห็นมาใครมาเคาะเลย เราบอกว่ามีสิ แฟนก้อเงี่ยหูฟัง ทีนี้ เสียงที่ดังกลับเป็นเสียงเคาะประตูหน้าห้องนอน ซึ่งจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อ
ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้ยินเสียงคนเปิดประตูระเบียงเข้ามาในบ้านเลย พอเสียงเคาะดังปุ๊บเราก้อเริ่มกลัวเพราะว่าเริ่มแปลกๆ อีกแล้ว แล้วจู่ๆ ไฟชั้นบนก้อดับค่ะ เท่านั้นแหล่ะดิฉันกรี๊ดขึ้นทันที แล้วก้อร้องหาแฟนว่าอยู่ไหน แฟนก้อรีบเดินมาหา แล้วก้อพากันเดินแบบมืดๆ เพื่อที่จะเปิดประตูลงไปข้างล่างกัน ขอบอกว่าตอนนั้นรู้สึกกลัวมากๆ เพราะคิดแล้วว่า ปู่ย่า เค้าต้องมาหาเราแน่ๆ พอออกไประเบียงข้างนอกปุ๊บ ปรากฏว่าไฟที่ดับ คือดับแต่ข้างบน แต่ไฟข้างล่างยังสว่างกันอยู่เลย เราก้อยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ อะไรกันทำไม่จะต้องจำเพาะมาดับแต่ข้างบน ทีนี้เราเป็นคนเดินลงข้างล่างนำหน้าแฟนเลยค่ะ เพราะกลัวมากๆ แฟนก้อไปบอกพ่อเค้าว่าเนี่ยข้างบนไฟดับ ให้ช่วยดูแผงไฟหน่อย พ่อเค้าก้อไปเช็คแผงไฟแล้วก้อคงจะเปลี่ยนฟิว
พอเปลี่ยนเสร็จ ไฟมา ทีนี้เรากับแฟนก้อเลยกลับไปข้างบนกันใหม่ แต่พอเหยียบเข้าห้องปุ๊บ ไฟดับอีกรอบ ทีนี้เราเลยบอกกับแฟนว่า เธอชั้นว่าเราน่าจะไปจุดธูปบอกปู่กับย่าเธอนะ ว่าเรามาเที่ยว ไม่งั้นคืนนี้คงไม่ได้นอนแน่เลยแฟนเราเค้าก้อเห็นด้วย ซึ่งตอนที่ไฟดับครั้งแรกเราได้บอกเค้าแล้วแต่ด้วยความที่เค้าไม่เชื่อ เค้าบอกว่าไม่เอาหรอก เดี๋ยวพ่อแม่เค้าหาว่าไร้สาระ แต่พอดับอีกรอบ ทีนี้เค้าก้อเลยบอกพ่อแม่เค้าว่าเนี่ยอยากจุดธูปบอกกับปู่ย่านะว่าเรากลับมาเที่ยวกัน ให้ช่วยคุ้มครองด้วย ซึ่งหลังจากปักธูปแล้ว ไฟก้อติดแล้วก้อไม่ดับอีกเลย ซึ่งทำให้ที่บ้านเค้าเกิดความประหลาดใจกันมาก ต้องบอกเลยนะคะว่าปกติที่บ้านแฟนเค้าจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องวิญญาณกันน่ะคะ แต่ที่ไหว้บรรพบุรุษก้อไหว้กันตามธรรมเนียมเท่านั้น
เรื่องของเราก้อมีเท่านี้แหล่ะค่ะ ถ้าอ่านไม่เข้าใจก้อต้องขออภัยมาณที่นี้ด้วยนะคะ แล้วก้อต้องขอโทษด้วยนะคะที่พิมพ์มาซะยืดยาว
เราเองก้อเป็นคนนึงที่ติดตามอ่านประสบการณ์สยองของเพื่อนๆ ท่านอื่นมานานแต่ยังไม่มีโอกาสได้เขียนเรื่องราวของตัวเองสักที วันนี้พอดีมีเวลาว่างๆ เลยอยากจะนำเรื่องของเรามาแชร์ให้คนอื่นๆ ได้รับทราบกันบ้างค่ะ ถ้าอ่านแล้วไม่เข้าใจก้อต้องขอโทษด้วยนะคะ เรื่องนี้จากประสบการณ์จริงของเราเองนะคะเริ่มเรื่องเลยนะคะ คือเมื่อ ปีก่อน 2007 เรามีโอกาสไปเที่ยวที่จีนซึ่งเป็นบ้านเกิดของแฟนเรา
(คือแฟนเราเป็นคนจีน อาศัยอยู่ในชนบทน่ะค่ะ) พอดีว่าช่วงที่ไปเป็นเดือนสิงหาคม ซึ่งถ้าจะนับไป ก้อคือเป็นช่วงที่เค้าจะปล่อยให้วิญญาณกลับมาเยี่ยมบ้านอะไรทำนองนั้นนะคะ ซึ่งถ้าจะเปรียบเทียบกับเทศกาลในเมืองไทยก้อจะเป็นช่วงเทศกาลเทกระจาดของบ้านเรา ช่วงที่เราไปนั้น ตรงกับวันที่ทางบ้านแฟนเค้าจะไหว้บรรพบุรุษของเค้า แต่เรากับแฟน ด้วยความที่ว่าปกติจะอยู่ออสเตรเลียกัน
จะมีโอกาสได้กลับไปก้อปีละ 1 ครั้ง แฟนก้อเลยอยากจะพาไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ของเค้า ซึ่งอยู่ต่างเมืองกัน ก้อเผอิญวันที่ไปเที่ยวก้อดันมาตรงกับ 1 วันก่อนจะถึงวันไหว้บรรพบุรุษ ซึ่งในวันไหว้บรรพบุรุษเค้าจะต้องทำพิธีไหว้กันในตอนเช้า แต่ในเช้าวันนั้นเรากับแฟนยังอยู่อีกเมืองนึงกับเพื่อนของแฟน พอช่วงเย็นเราได้เดินทางกลับมาบ้านของแฟน ซึ่งระหว่างทางนั่งรถกลับ เราได้บอกกับแฟนว่า เธอคืนนี้ปู่กับย่าเธอจะมาหาชั้นอีกหรือป่าวเนี่ย (คือเมื่อ 1 ปีก่อนหน้าที่เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเราไปบ้านแฟนเหมือนกันและได้มีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้น
แต่จะขอยกไปเล่าคราวหน้านะคะ) แฟนก้อบอกว่าอย่าคิดมากสิ ไม่มีอะไรหรอก และถึงมีก้อไม่น่ากลัวหรอก เพราะว่าวิญญาณที่จะมาหาก้อคือ ปู่ย่า ตายาย ของเค้า แหมดูเค้าพูดสิคะ ก้อใช่สิ เป็นปู่ย่า ตายายของตัวเองก้อไม่กลัวสิ แต่เราเป็นแค่สะใภ้ก้อต้องกลัวเป็นธรรมดาพอช่วงกลับไปถึงบ้านตอนหัวค่ำ เหตุการณ์ก้อยังปกตินะคะ จนกระทั่งดึก ต่างคน(หมายถึง พ่อแม่และพี่ชายพี่สะใภ้แฟน รวมถึงตัวเรากับแฟนด้วย) ก้อต่างแยกย้ายกันกลับห้องใครห้องมัน ซึ่งพี่ชายและพี่สะใภ้แฟนเนี่ยเค้าแยกกลับไปบ้านเค้าซึ่งปลูกใกล้ๆ บ้านของพ่อแม่แฟน
ส่วนพ่อแม่แฟนเค้ามีห้องนอนอยู่ชั้นล่างของบ้าน และห้องนอนของเรากับแฟนอยู่ส่วนด้านบนของบ้านนะคะ ซึ่งจะขออธิบายก่อนว่า บันไดของบ้านนี้เค้าจะสร้างแยกออกจากตัวบ้าน คือถ้าคุณจะขึ้นชั้นสอง พอคุณขึ้นบันไดมาปุ๊บจะเจอระเบียงบ้านก่อนเลย แล้วจากระเบียงก้อจะมีประตูเข้าไปในตัวบ้านอีกทีนึง ซึ่งพอเปิดประตูปุ๊บ คุณจะเจอห้องรับแขกก่อน แล้วจากห้องรับแขกเดินเข้าไปอีกนิดถึงจะเจอประตูห้องนอนของเรา ตอนนั้นคิดว่าเวลาประมาณ สี่ทุ่มกว่าๆ แต่สำหรับบ้านนอกนั้นบ้านอื่นๆ เค้าก้อเข้านอนกันตั้งแต่ 2 ทุ่มกว่าๆ แล้ว แถวนั้นจึงเงียบกันหมด
แต่ไอ้ที่ไม่เงียบก้อคือ หมาแถวบ้านซึ่งหอนกันจริงๆ จนทำให้เรารู้สึกกลัว เราก้อบอกกลับแฟนว่าเอาอีกแล้วไง มากันแล้ว สักพักเราก้อได้ยินเสียงเคาะประตู ซึ่งเสียงนี้ดังมาจากประตูระเบียงข้างนอกซึ่งล็อคกลอนอยู่นะคะ ตอนแรกก้อไม่ได้คิดอะไร คิดว่าพ่อแม่แฟนคงจะเอาน้ำหรือของกินเล่นมาให้ พอดีว่าเรากำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปอาบน้ำ เลยบอกกับแฟนว่า เธอไปเปิดประตูหน่อยมีคนมาเคาะประตู แฟนก้อบอกว่าไม่เห็นมาใครมาเคาะเลย เราบอกว่ามีสิ แฟนก้อเงี่ยหูฟัง ทีนี้ เสียงที่ดังกลับเป็นเสียงเคาะประตูหน้าห้องนอน ซึ่งจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อ
ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้ยินเสียงคนเปิดประตูระเบียงเข้ามาในบ้านเลย พอเสียงเคาะดังปุ๊บเราก้อเริ่มกลัวเพราะว่าเริ่มแปลกๆ อีกแล้ว แล้วจู่ๆ ไฟชั้นบนก้อดับค่ะ เท่านั้นแหล่ะดิฉันกรี๊ดขึ้นทันที แล้วก้อร้องหาแฟนว่าอยู่ไหน แฟนก้อรีบเดินมาหา แล้วก้อพากันเดินแบบมืดๆ เพื่อที่จะเปิดประตูลงไปข้างล่างกัน ขอบอกว่าตอนนั้นรู้สึกกลัวมากๆ เพราะคิดแล้วว่า ปู่ย่า เค้าต้องมาหาเราแน่ๆ พอออกไประเบียงข้างนอกปุ๊บ ปรากฏว่าไฟที่ดับ คือดับแต่ข้างบน แต่ไฟข้างล่างยังสว่างกันอยู่เลย เราก้อยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ อะไรกันทำไม่จะต้องจำเพาะมาดับแต่ข้างบน ทีนี้เราเป็นคนเดินลงข้างล่างนำหน้าแฟนเลยค่ะ เพราะกลัวมากๆ แฟนก้อไปบอกพ่อเค้าว่าเนี่ยข้างบนไฟดับ ให้ช่วยดูแผงไฟหน่อย พ่อเค้าก้อไปเช็คแผงไฟแล้วก้อคงจะเปลี่ยนฟิว
พอเปลี่ยนเสร็จ ไฟมา ทีนี้เรากับแฟนก้อเลยกลับไปข้างบนกันใหม่ แต่พอเหยียบเข้าห้องปุ๊บ ไฟดับอีกรอบ ทีนี้เราเลยบอกกับแฟนว่า เธอชั้นว่าเราน่าจะไปจุดธูปบอกปู่กับย่าเธอนะ ว่าเรามาเที่ยว ไม่งั้นคืนนี้คงไม่ได้นอนแน่เลยแฟนเราเค้าก้อเห็นด้วย ซึ่งตอนที่ไฟดับครั้งแรกเราได้บอกเค้าแล้วแต่ด้วยความที่เค้าไม่เชื่อ เค้าบอกว่าไม่เอาหรอก เดี๋ยวพ่อแม่เค้าหาว่าไร้สาระ แต่พอดับอีกรอบ ทีนี้เค้าก้อเลยบอกพ่อแม่เค้าว่าเนี่ยอยากจุดธูปบอกกับปู่ย่านะว่าเรากลับมาเที่ยวกัน ให้ช่วยคุ้มครองด้วย ซึ่งหลังจากปักธูปแล้ว ไฟก้อติดแล้วก้อไม่ดับอีกเลย ซึ่งทำให้ที่บ้านเค้าเกิดความประหลาดใจกันมาก ต้องบอกเลยนะคะว่าปกติที่บ้านแฟนเค้าจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องวิญญาณกันน่ะคะ แต่ที่ไหว้บรรพบุรุษก้อไหว้กันตามธรรมเนียมเท่านั้น
เรื่องของเราก้อมีเท่านี้แหล่ะค่ะ ถ้าอ่านไม่เข้าใจก้อต้องขออภัยมาณที่นี้ด้วยนะคะ แล้วก้อต้องขอโทษด้วยนะคะที่พิมพ์มาซะยืดยาว
คุณตา
วันที่ตาเราตายเป็นวันที่เราเสียใจที่สุดเป็นวันจันทร์เราจำได้แม่นเพราะเราไปโรงเรียนวันแรกแต่เราไม่อยากไปโรงเรียนเป็นห่วงตามากกว่า
แล้วพอตอนสายๆสัก11โมงน้าเราก็มาที่โรงเรียนบอกว่าตาตายแล้วเราเสียใจมากร้องไห้ตลอดทางกลับบ้านเลยทั้งที่เมื่อเช้าเรายังป้อนข้าวป้อนน้ำตาอยู่เลยแล้วก็มีเหตุการณ์ที่น่ากลัวเกิดขึ้น สวดตาวันแรกเรานอนกันในมุ้งมียาย น้า แล้วก็เรานอนกัน3คนนอนเฝ้าตาที่บ้าน(สวดศพที่บ้าน)
เหตุการณ์ก็ปกติดีแต่พอประมาณตี1 น้าก็รู้สึกแปลกๆเลยลืมตาขึ้นมาแล้วสิ่งที่น้าเห็นมันไม่น่ากลัวในสายตาน้าเลยน้าเห็นตามานั่งพัดให้เราน้าเห็นอยู่นานมากจึงไม่คิดว่าตาฟาดแน่นอนแล้วน้าก็ปลุกยายกับเรา
พอเราตื่นมาน้าก็เล่าให้ฟังยายบอกว่าตาคงไม่อยากให้เราตื่นมาเห็นเพราะตารู้ว่าเรากลัวผีมากเพราะตาเลี้ยงเรามาตั้งแต่เด็กพัดให้เรานอนตอนเด็กๆทุกคืนคืนนั้นก็ผ่านไปพอคืนที่2น้าก็เห็นอีกน้าเลยคุยกับตาว่าอย่าห่วงเลยยายกับน้าจะดูแลเราเองพ่อกับแม่เราก็เหมือนกันตาก็เลยไปไม่มาให้น้าเห็นอีกพอวันเผาตาเราร้องไห้ตั้งแต่ศพตาวางบนที่เผาศพพอจะเผาตาต้องเอาน้ำมะพร้าวล้างหน้าศพตาของตาก็ลืม
ยายก็เลยบอกตาว่าไม่ต้องห่วงพวกเราน่ะไปสบายเถอะตาของตาเลยปิดลงพอเข้าเตาเผาเรากับยายและครอบครัวต้องกลับบ้านรอมาเก็นกระดูกตอนเช้าเอาไปทำบุญตอนขากลับหมาหอนตลอกทางทั้งที่ข้างทางไม่มีบ้านคนมีแต่นาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเสียงหมาหอนมาจากไหนพอเราใกล้ถึงทางเข้าบ้านเสียงหมาหอนเลยเงียบไปมีแต่กลิ่นน้ำมันใส่ผมที่ตาชอบใส่ยายก็เลยบอกตาว่าไม่ต้องมาส่งแล้วถึงบ้านแล้วกลับไปวัดเถอะพวกเราเลยเข้าบ้านกัน
ตอนเช้าพวกเราก็ไปเก็บกระดูกตาแล้วเอามาทำบุญกันตามประเพณี
แล้วพอตอนสายๆสัก11โมงน้าเราก็มาที่โรงเรียนบอกว่าตาตายแล้วเราเสียใจมากร้องไห้ตลอดทางกลับบ้านเลยทั้งที่เมื่อเช้าเรายังป้อนข้าวป้อนน้ำตาอยู่เลยแล้วก็มีเหตุการณ์ที่น่ากลัวเกิดขึ้น สวดตาวันแรกเรานอนกันในมุ้งมียาย น้า แล้วก็เรานอนกัน3คนนอนเฝ้าตาที่บ้าน(สวดศพที่บ้าน)
เหตุการณ์ก็ปกติดีแต่พอประมาณตี1 น้าก็รู้สึกแปลกๆเลยลืมตาขึ้นมาแล้วสิ่งที่น้าเห็นมันไม่น่ากลัวในสายตาน้าเลยน้าเห็นตามานั่งพัดให้เราน้าเห็นอยู่นานมากจึงไม่คิดว่าตาฟาดแน่นอนแล้วน้าก็ปลุกยายกับเรา
พอเราตื่นมาน้าก็เล่าให้ฟังยายบอกว่าตาคงไม่อยากให้เราตื่นมาเห็นเพราะตารู้ว่าเรากลัวผีมากเพราะตาเลี้ยงเรามาตั้งแต่เด็กพัดให้เรานอนตอนเด็กๆทุกคืนคืนนั้นก็ผ่านไปพอคืนที่2น้าก็เห็นอีกน้าเลยคุยกับตาว่าอย่าห่วงเลยยายกับน้าจะดูแลเราเองพ่อกับแม่เราก็เหมือนกันตาก็เลยไปไม่มาให้น้าเห็นอีกพอวันเผาตาเราร้องไห้ตั้งแต่ศพตาวางบนที่เผาศพพอจะเผาตาต้องเอาน้ำมะพร้าวล้างหน้าศพตาของตาก็ลืม
ยายก็เลยบอกตาว่าไม่ต้องห่วงพวกเราน่ะไปสบายเถอะตาของตาเลยปิดลงพอเข้าเตาเผาเรากับยายและครอบครัวต้องกลับบ้านรอมาเก็นกระดูกตอนเช้าเอาไปทำบุญตอนขากลับหมาหอนตลอกทางทั้งที่ข้างทางไม่มีบ้านคนมีแต่นาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเสียงหมาหอนมาจากไหนพอเราใกล้ถึงทางเข้าบ้านเสียงหมาหอนเลยเงียบไปมีแต่กลิ่นน้ำมันใส่ผมที่ตาชอบใส่ยายก็เลยบอกตาว่าไม่ต้องมาส่งแล้วถึงบ้านแล้วกลับไปวัดเถอะพวกเราเลยเข้าบ้านกัน
ตอนเช้าพวกเราก็ไปเก็บกระดูกตาแล้วเอามาทำบุญกันตามประเพณี
วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551
เจ้าที่ เจ้าทาง
เหตุเกิดขณะที่ผมศึกษาอยู่ มัธยมปลายแห่งหนึ่งแถบปริมณฑล
จำได้ว่า ม.6 พอดี ระยะนั้นเศรษฐกิจไม่ค่อยดีนัก จึงเกิดการค้าขายที่เรียกติดปากว่า ตลาดนัด หรือ เปิดท้ายขายของเป็นจำนวนมาก พวกผมก็เช่นกัน จะไปเดินกันเป็นประจำ ซึ่งจะมีทุกวันอังคารและศุกร์ เย็นวันนั้น เป็นวันศุกร์หลังจากเตะฟุตบอล ผมได้รอเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นนักดนตรีดุริยางศ์ของโรงเรียน ด้วยความที่อยู่ม.6 เป็นพี่ใหญ่ เพื่อนผมจึงต้องอยู่เก็บของตอนเย็นที่ห้องดุริยางศ์ทุกสัปดาห์ วันนั้นเหตุการณ์อย่างไรไม่ทราบ ผมรอเพื่อนคนนี้ได้สักพัก เห็นว่ายังไม่มาสักที ก็เลยตัดสินใจเดินไปตามกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง ซึ่งพอไปถึง ก็เห็นเพื่อนยืนอยู่หน้าห้องดุริยางศ์นั้นเอง แต่ประตูทางลงได้ถูกล็อกไปแล้ว อาคารนี้เป็นอาคาร3ชั้น เป็นไม้ทั้งหลัง บันไดจะอยู่ริม ซ้ายและขวาของตัวอาคาร
หลังจากไถ่ถามและปรึกษากันได้แป๊บหนึ่งแล้ว ทราบว่า เพื่อนเก็บของอยู่ในห้อง พอลงมาด้านล่าง ประตูถูกปิดแล้ว ผมกับเพื่อนที่เดินมาด้วยกัน จึงตัดสินใจไปตามภารโรงมาเปิดประตูให้ ยังไม่ทันที่จะเดินลอดพ้นตัวอาคาร ผมได้ยินเสียงเพื่อนตะโกนพยายามจะบอกอะไรบางอย่าง เท่าที่ผมจับใจความได้ คือ เร็วๆหน่อยนะโว้ย ผมจึงตะโกนกลับไปว่า เออ แป๊บเดียว ผมจึงรีบเดินไปยังบ้านพักภารโรงซึ่งอยู่ภายในโรงเรียน เมื่อได้พบ จึงเล่าให้ฟังว่าเพื่อนติดอยู่บนอาคาร ซึ่งน้าแกก็เข้าใจดี แถมยังบอกว่า ยังงี้แหละ วันศุกร์ ครูเค้ารีบกลับกัน จากนั้นผมกับเพื่อนก็เดินตามภารโรงมาที่ตึกนี้ พอผมมองขึ้นไปเห็นเพื่อนที่ยืนอยู่ชั้น2 ผมก็ตกใจ เพราะเพื่อนเหมือนจะเกาะระเบียงแน่น ดูแล้วรู้เลยว่า
อยากกระโดดลงมา แต่ไม่กล้า เพราะสูงพอสมควร เมื่อภารโรงแกเปิดประตูแล้ว ผมเดินขึ้นไปจนถึงตัวเพื่อน แต่เพื่อนคนนั้น กลับวิ่งทะยานลงบันได้อย่างรวดเร็ว ผมกับเพื่อนก็ไม่เข้าใจ เพราะปกติก็กลับด้วยกันตลอด ตอนนั้นเห็นว่าแปลกๆ ก็เลยถามน้าภารโรงว่า บนตึกนี้ เคยมีอะไรรึเปล่า น้าแกก็บอกว่าไม่มี จนวันอาทิตย์ ผมผ่านไปแถวบ้านเพื่อนคนนี้ ก็เลยแวะไปหา แล้วคุยกัน จึงได้รู้ความจริง ก็คือ เพื่อนคนนั้น เห็นลุงแก่ๆ ค่อยๆเดินคล้อยหลังลงบันไดไปอีกฝั่งของตัวอาคาร จึงรีบวิ่งไปเพื่อจะออกไปด้วย แต่พอลงบันไดไป ประตูยังปิดอยู่และไม่มีใคร แล้วที่ตะโกนเรียกผมกับเพื่อนตอนที่จะไปหาภารโรงนั้น เพื่อนมันตะโกนว่า ไม่ต้องแล้ว มีคนเปิดประตูแล้ว ...
จนผมกลับมาจึงได้เห็นเพื่อนผิดปกติแล้ววิ่งหนีไป หลังจากรู้เรื่อง ผมกลับไปถามน้าภารโรงอีกที เล่าเรื่องให้แกฟัง แกก็บอกว่าไม่มีนะ แล้วผมกับแกก็เลยสรุปกันไปว่า อาจจะเป็นเจ้าที่เจ้าทางที่คอยดูแลรักษาอาคารแห่งนี้อยู่ก็เป็นได้นี่คือเรื่องจริงที่เพื่อนผมประสบมาครับ
จำได้ว่า ม.6 พอดี ระยะนั้นเศรษฐกิจไม่ค่อยดีนัก จึงเกิดการค้าขายที่เรียกติดปากว่า ตลาดนัด หรือ เปิดท้ายขายของเป็นจำนวนมาก พวกผมก็เช่นกัน จะไปเดินกันเป็นประจำ ซึ่งจะมีทุกวันอังคารและศุกร์ เย็นวันนั้น เป็นวันศุกร์หลังจากเตะฟุตบอล ผมได้รอเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นนักดนตรีดุริยางศ์ของโรงเรียน ด้วยความที่อยู่ม.6 เป็นพี่ใหญ่ เพื่อนผมจึงต้องอยู่เก็บของตอนเย็นที่ห้องดุริยางศ์ทุกสัปดาห์ วันนั้นเหตุการณ์อย่างไรไม่ทราบ ผมรอเพื่อนคนนี้ได้สักพัก เห็นว่ายังไม่มาสักที ก็เลยตัดสินใจเดินไปตามกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง ซึ่งพอไปถึง ก็เห็นเพื่อนยืนอยู่หน้าห้องดุริยางศ์นั้นเอง แต่ประตูทางลงได้ถูกล็อกไปแล้ว อาคารนี้เป็นอาคาร3ชั้น เป็นไม้ทั้งหลัง บันไดจะอยู่ริม ซ้ายและขวาของตัวอาคาร
หลังจากไถ่ถามและปรึกษากันได้แป๊บหนึ่งแล้ว ทราบว่า เพื่อนเก็บของอยู่ในห้อง พอลงมาด้านล่าง ประตูถูกปิดแล้ว ผมกับเพื่อนที่เดินมาด้วยกัน จึงตัดสินใจไปตามภารโรงมาเปิดประตูให้ ยังไม่ทันที่จะเดินลอดพ้นตัวอาคาร ผมได้ยินเสียงเพื่อนตะโกนพยายามจะบอกอะไรบางอย่าง เท่าที่ผมจับใจความได้ คือ เร็วๆหน่อยนะโว้ย ผมจึงตะโกนกลับไปว่า เออ แป๊บเดียว ผมจึงรีบเดินไปยังบ้านพักภารโรงซึ่งอยู่ภายในโรงเรียน เมื่อได้พบ จึงเล่าให้ฟังว่าเพื่อนติดอยู่บนอาคาร ซึ่งน้าแกก็เข้าใจดี แถมยังบอกว่า ยังงี้แหละ วันศุกร์ ครูเค้ารีบกลับกัน จากนั้นผมกับเพื่อนก็เดินตามภารโรงมาที่ตึกนี้ พอผมมองขึ้นไปเห็นเพื่อนที่ยืนอยู่ชั้น2 ผมก็ตกใจ เพราะเพื่อนเหมือนจะเกาะระเบียงแน่น ดูแล้วรู้เลยว่า
อยากกระโดดลงมา แต่ไม่กล้า เพราะสูงพอสมควร เมื่อภารโรงแกเปิดประตูแล้ว ผมเดินขึ้นไปจนถึงตัวเพื่อน แต่เพื่อนคนนั้น กลับวิ่งทะยานลงบันได้อย่างรวดเร็ว ผมกับเพื่อนก็ไม่เข้าใจ เพราะปกติก็กลับด้วยกันตลอด ตอนนั้นเห็นว่าแปลกๆ ก็เลยถามน้าภารโรงว่า บนตึกนี้ เคยมีอะไรรึเปล่า น้าแกก็บอกว่าไม่มี จนวันอาทิตย์ ผมผ่านไปแถวบ้านเพื่อนคนนี้ ก็เลยแวะไปหา แล้วคุยกัน จึงได้รู้ความจริง ก็คือ เพื่อนคนนั้น เห็นลุงแก่ๆ ค่อยๆเดินคล้อยหลังลงบันไดไปอีกฝั่งของตัวอาคาร จึงรีบวิ่งไปเพื่อจะออกไปด้วย แต่พอลงบันไดไป ประตูยังปิดอยู่และไม่มีใคร แล้วที่ตะโกนเรียกผมกับเพื่อนตอนที่จะไปหาภารโรงนั้น เพื่อนมันตะโกนว่า ไม่ต้องแล้ว มีคนเปิดประตูแล้ว ...
จนผมกลับมาจึงได้เห็นเพื่อนผิดปกติแล้ววิ่งหนีไป หลังจากรู้เรื่อง ผมกลับไปถามน้าภารโรงอีกที เล่าเรื่องให้แกฟัง แกก็บอกว่าไม่มีนะ แล้วผมกับแกก็เลยสรุปกันไปว่า อาจจะเป็นเจ้าที่เจ้าทางที่คอยดูแลรักษาอาคารแห่งนี้อยู่ก็เป็นได้นี่คือเรื่องจริงที่เพื่อนผมประสบมาครับ
วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2551
ลอยตามรถ...
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อวัน 19 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เป็นเรื่องของพี่ชายค่ะ
จะเรียกพี่เขาว่า "พี่หมี" นะคะทุกคืนวันเสาร์พี่หมีจะไปคลองถมกับพี่ชายของแฟนเขา (ขอเรียกว่า "เฮีย") จะไปเดินซื้อของกัน แล้วก็แวะทานข้าวหลังจากนั้นก็ขับรถกลับกัน พี่หมีเป็นคนขับ ส่วนเฮียก็นั่งข้างๆ พี่หมีก็พูดขึ้นมาว่า "วันนี้พระจันทร์ดูแปลกๆ ไหมเฮีย
มันเต็มดวง สีทองนวลๆ "เฮียเขาก็ตอบ "อืม...." สักพักเฮียเขาก็หลับไป รถวิ่งมาได้เวลาประมาณตี 2 กว่าๆ กำลังจะขึ้นสะพาน (มาจากหน้าห้างเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า มุ่งหน้าออกตลิ่งชัน สะพานที่อยู่หน้าขนส่งสายใต้ บอกแค่นี้น่าจะรู้จักนะคะ..) อยู่ๆ ก็มีหน้าผู้หญิงลอยตามรถมา(....ลอยมาเลยค่ะ พี่เขาขับ 120 เพราะมันดึกแล้ว) แต่หันข้างให้ พี่หมีแกเห็นจากหางตา ก็ไม่กล้าหันไปมอง
มือก็เอื้อมไปหยิบกริชที่เหน็บอยู่ตรงที่บังแดดฝั่งข้างคนขับ สักพักก็หายไป เฮียเขาก็เลยตื่นแล้วถามว่า"มีอะไร" พี่หมีก็เลยเล่าให้ฟัง เฮียเขาก็เลยพูดว่า "ผู้หญิงผมยาว ใส่ชุดดำ สูงประมาณ 160 ใช่ไหม" พี่หมีก็บอกว่า "ใช่"เฮียเขาก็เลยบอกว่า "อืม...เคยเจอแล้ว มาแบบนี้เลย"พอตอนเช้าพี่หมี ก็เลยโทรไปถามเพื่อนอีกคนที่อยู่แล้วนั้น เขาก็เล่าให้ฟังว่า "เคยมีผู้หญิง เขาไปเที่ยวกลางคืนมา
แล้วมาเกิดอุบัติเหตุ เสียชีวิตอยู่บนสะพานนั้น"พี่หมีบอกว่า "ถ้าหันไปมอง วันนั้นคงเสียชีวิตไปแล้ว เพราะข้างหน้าเป็นรถสิบล้อ" (สงสัยว่าเขาจะมาเอาคนไปแทนที่)
จะเรียกพี่เขาว่า "พี่หมี" นะคะทุกคืนวันเสาร์พี่หมีจะไปคลองถมกับพี่ชายของแฟนเขา (ขอเรียกว่า "เฮีย") จะไปเดินซื้อของกัน แล้วก็แวะทานข้าวหลังจากนั้นก็ขับรถกลับกัน พี่หมีเป็นคนขับ ส่วนเฮียก็นั่งข้างๆ พี่หมีก็พูดขึ้นมาว่า "วันนี้พระจันทร์ดูแปลกๆ ไหมเฮีย
มันเต็มดวง สีทองนวลๆ "เฮียเขาก็ตอบ "อืม...." สักพักเฮียเขาก็หลับไป รถวิ่งมาได้เวลาประมาณตี 2 กว่าๆ กำลังจะขึ้นสะพาน (มาจากหน้าห้างเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า มุ่งหน้าออกตลิ่งชัน สะพานที่อยู่หน้าขนส่งสายใต้ บอกแค่นี้น่าจะรู้จักนะคะ..) อยู่ๆ ก็มีหน้าผู้หญิงลอยตามรถมา(....ลอยมาเลยค่ะ พี่เขาขับ 120 เพราะมันดึกแล้ว) แต่หันข้างให้ พี่หมีแกเห็นจากหางตา ก็ไม่กล้าหันไปมอง
มือก็เอื้อมไปหยิบกริชที่เหน็บอยู่ตรงที่บังแดดฝั่งข้างคนขับ สักพักก็หายไป เฮียเขาก็เลยตื่นแล้วถามว่า"มีอะไร" พี่หมีก็เลยเล่าให้ฟัง เฮียเขาก็เลยพูดว่า "ผู้หญิงผมยาว ใส่ชุดดำ สูงประมาณ 160 ใช่ไหม" พี่หมีก็บอกว่า "ใช่"เฮียเขาก็เลยบอกว่า "อืม...เคยเจอแล้ว มาแบบนี้เลย"พอตอนเช้าพี่หมี ก็เลยโทรไปถามเพื่อนอีกคนที่อยู่แล้วนั้น เขาก็เล่าให้ฟังว่า "เคยมีผู้หญิง เขาไปเที่ยวกลางคืนมา
แล้วมาเกิดอุบัติเหตุ เสียชีวิตอยู่บนสะพานนั้น"พี่หมีบอกว่า "ถ้าหันไปมอง วันนั้นคงเสียชีวิตไปแล้ว เพราะข้างหน้าเป็นรถสิบล้อ" (สงสัยว่าเขาจะมาเอาคนไปแทนที่)
วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2551
ธูปดอกเดียว
ประมาณปลายปี 49 อยู่ในช่วงหน้าหนาว อาของฉันไปสัมนาที่เชียงใหม่ ซึ่งก็พาญษติไปด้วยได้นิดหน่อยเนื่องจากรถมีที่เหลือ เราไปกันหลายคน ซึ่งก็มีคนที่ทำงานของอา และครอบครัวฉันมีไป 5 คน มีฉัน อา 2คน น้อง และลูกของฉัน อายุ 8เดือน
เราเข้าพักในสนามกีกลางของจังหวัด ซึ่งในนั้นมีที่พักเหมือรโรงแรม น่าจะเป็นบ้านพักนักกีฬา เราแบ่งกันพักประมาณ 4 ห้อง ซึ่งฉันอยู่ห้องริมสุด ห้องติดกับฉันทางด้านขวาไปไม่มีคนพัก และทั้งชั้นก็มีกรุ๊ปเราเพียงกรุ๊ปเดียว ประตูห้องน้ำภ่ยในห้องพักเวลาเปิจะมีเสียงดังมาก เพราะแถบด้านล่างประตูห้องน้ำเป็นเหมือนสังกะสี เวลาเปิดมันเลยสีกัน มีเสียง ตอนเช็คอินเข้ามาอาบอกให้ฉันจุดธูปบอกเจ้าที่เนื่องจากมีเด็กเล็กมาด้วยจะได้ช่วยคุ้มครอง ฉันไม่แน่ใจว่าต้องจุดธูปกี่ดอก เลยนึกได้ว่า ยายของแฟนเหมือนเคยพูดว่าจุดกี่ดอกก็เหมือนกัน ฉันเลยจุดแค่ 1 ดอกแล้วปักไว้ที่หนาระเบียง
จากนั้นเหตุการณ์ก็ปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกระทั่ง ฉพวกเรากลับจากไปเที่ยวที่ต่างๆ ก็ประมาณ 4-5 ทุ่ม ทุกคนต่างก็เข้านอนกัน เพราะต้องประชุมแต่เช้า จนกลางดึก ฉันกับอาได้ยินเสียงประตูห้องน้ำเปิดปิด ทั้งคืน ฉันกับอาเลยได้แต่นอนมองหน้ากัน ว่าใครกันนะ จะลุกมาเข้าห้องน้ำได้ทั้งคืน ย้ำว่าทั้งคืนจริงๆ แต่ก็คิดไปว่า พวกของฉันข้างห้องอาจจะลุกมาเข้าห้องน้ำเพราะท้องเสียมั้งเลยเข้าทั้งคืน
แต่พอตอนเช้าก็ได้ถามคนที่พักข้างห้องฉันว่า เมื่อคืนเป็นอะไร ลุกมาเข้าห้องน้ำทั้งคืนเลย แต่เขาก็ตอบว่า เมื่อคืนหลับสนิทกันหมดไม่มีใครลุกมาเข้าห้องน้ำนี่ แล้วใครกันที่เปิดปิดประตูห้องน้ำได้ทั้งคื และยังมีเพียงแค่ห้องฉันเท่านั้นที่ได้ยิน หรือเป็นเพราะฉันจุดธูปดอกเดียว ถ้าตอนนี้เข้าใจไม่ผิด จุดธูปดอกเดียวใช้เรียกวิญญาณใช่ไหมคะ ถ้าทุกคนลงความเห็นเดียวกันว่าใช่ คืนนั้นวิญญาณที่ฉันบังเอิญจุดธูปเรียกมาโดยไม่ได้ตั้งใจแม้แต่น้อย
คงเป็นผู้ที่เปิดปิดประตูห้องน้ำทั้งคืนแน่ๆ บรื๋ออออออออ
ขอบคุณข้อมูลจาก www.shockfmclub.com
เราเข้าพักในสนามกีกลางของจังหวัด ซึ่งในนั้นมีที่พักเหมือรโรงแรม น่าจะเป็นบ้านพักนักกีฬา เราแบ่งกันพักประมาณ 4 ห้อง ซึ่งฉันอยู่ห้องริมสุด ห้องติดกับฉันทางด้านขวาไปไม่มีคนพัก และทั้งชั้นก็มีกรุ๊ปเราเพียงกรุ๊ปเดียว ประตูห้องน้ำภ่ยในห้องพักเวลาเปิจะมีเสียงดังมาก เพราะแถบด้านล่างประตูห้องน้ำเป็นเหมือนสังกะสี เวลาเปิดมันเลยสีกัน มีเสียง ตอนเช็คอินเข้ามาอาบอกให้ฉันจุดธูปบอกเจ้าที่เนื่องจากมีเด็กเล็กมาด้วยจะได้ช่วยคุ้มครอง ฉันไม่แน่ใจว่าต้องจุดธูปกี่ดอก เลยนึกได้ว่า ยายของแฟนเหมือนเคยพูดว่าจุดกี่ดอกก็เหมือนกัน ฉันเลยจุดแค่ 1 ดอกแล้วปักไว้ที่หนาระเบียง
จากนั้นเหตุการณ์ก็ปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกระทั่ง ฉพวกเรากลับจากไปเที่ยวที่ต่างๆ ก็ประมาณ 4-5 ทุ่ม ทุกคนต่างก็เข้านอนกัน เพราะต้องประชุมแต่เช้า จนกลางดึก ฉันกับอาได้ยินเสียงประตูห้องน้ำเปิดปิด ทั้งคืน ฉันกับอาเลยได้แต่นอนมองหน้ากัน ว่าใครกันนะ จะลุกมาเข้าห้องน้ำได้ทั้งคืน ย้ำว่าทั้งคืนจริงๆ แต่ก็คิดไปว่า พวกของฉันข้างห้องอาจจะลุกมาเข้าห้องน้ำเพราะท้องเสียมั้งเลยเข้าทั้งคืน
แต่พอตอนเช้าก็ได้ถามคนที่พักข้างห้องฉันว่า เมื่อคืนเป็นอะไร ลุกมาเข้าห้องน้ำทั้งคืนเลย แต่เขาก็ตอบว่า เมื่อคืนหลับสนิทกันหมดไม่มีใครลุกมาเข้าห้องน้ำนี่ แล้วใครกันที่เปิดปิดประตูห้องน้ำได้ทั้งคื และยังมีเพียงแค่ห้องฉันเท่านั้นที่ได้ยิน หรือเป็นเพราะฉันจุดธูปดอกเดียว ถ้าตอนนี้เข้าใจไม่ผิด จุดธูปดอกเดียวใช้เรียกวิญญาณใช่ไหมคะ ถ้าทุกคนลงความเห็นเดียวกันว่าใช่ คืนนั้นวิญญาณที่ฉันบังเอิญจุดธูปเรียกมาโดยไม่ได้ตั้งใจแม้แต่น้อย
คงเป็นผู้ที่เปิดปิดประตูห้องน้ำทั้งคืนแน่ๆ บรื๋ออออออออ
ขอบคุณข้อมูลจาก www.shockfmclub.com
วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2551
บ้าน ที่น่าสะพรึงกลัว
เรื่องเริ่มต้นที่ปกติดิฉันจะเป็นคนที่ไม่เคยปวดท้องเวลามีประจำเดือน
จนกระทั่งรอบเดือนครั้งแรกที่ปวดขึ้น แล้วก็ปวดมากจนต้องเข้า ร.พ. พอไปเค้าก้ตรวจๆ สุดท้ายลงความเห็นว่า ประจำเดือนน่าจะไหลย้อนกลับเข้ามดลูก เลยไม่ติดใจอะไร แต่คนคนนึงที่คิดตรงข้ามกับผลตรวจคือ เพื่อนของดิฉัน เนื่องด้วยขณะนั้น ดิฉันมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับแฟน เพื่อนจึงเข้าใจว่าดิฉันแท้ง ตอนแรกก้ไม่ได้คิดอะไรเพราะ หมอบอกว่าแค่ประจำเดือนไหลย้อนเข้ามดลูกเท่านั้น
แต่พอหลังจากนั้น วันเกิดดิฉันก็มาถึง ทุกอย่างดีไปหมด พ่อไปซื้อขนมเค้กมาให้ น้องเดินเอามามาให้ ปิดไฟทั้งบ้าน ที่อย่างดูดีมาก พ่อได้ถ่ายรุปเก็บไว้ก็ปกติทุกอย่าง แต่พอสองคืนให้หลัง ขณะที่ดิฉันกับแม่และน้องชายนอนกันอยุ่ แม่ได้ปลุกฉันขึ้น ตอนประมาณตี3กว่าๆ แล้วบอกกับดิฉันว่า "น้องพลอยตื่นเร็ว ม้ามีไรจะบอก" ดิฉันมัวแต่งัวเงียๆ "น้องพลอย เมื่อกี้มีเด็กมาดึงขาม้า" ดิฉันตกใจตื่นเต็มตา
เข้าขั้นตะลึงนึกอะไรไม่ออกทีเดียว....แม่บอกว่า แม่นอนตะแคงงอขาอยู่ แล้วรู้สึกได้เลยว่ามีมือเล็กๆ มาดึงขาแม่ขาหนึ่งดึงจนขาตึงทีเดียว แม่รู้สึกได้ว่า การจับ จับแบบกรีดนิ้วจับ คือเหมือนๆว่า ใช้แค่นิ้วชี้กับนิ้วโป้งจับ แล้วดึงจับขาข้างนึงตึงเลย ดิฉันได้แต่งง แล้วขณะนั้นเองพ่อก้ไปทำงานเพอ่งกลับมา เต้าถามว่าทำไมยังไม่นอนกัน แม่ก็เล่าให้ฟัง พ่อจึงเอารูปให้ดู รูปนั้น คือรูปที่ถ่ายในวันเกิดดิฉันเอง
เป็นรูปที่น้องชายถือเค้กเดินเข้ามา ข้างๆน้องชายมีเงาเด็กผู้หญิงยืนอยู่ข้างๆ กำลังยิ้ม เป็นเงาเทาๆ ที่มองเห็นได้ชัดมากๆ เห็นชัดมาว่าเป็นเด็กผู้หญฺงยิ้มเบ้าตาลึกโบ้ว ไม่มีลูกตา ช่สงเป็นภาพทื่น่ากลัวมาก สำหรับเจ้าของวันเกิดอย่างดิฉัน ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องมาเห็นวันเดียวกับที่แม่โดนจับขาอีก......ต่อมาจากนั้น ฉันก็เริ่มได้ยินเสียงกระดิ่งคล้ายๆ กระดิ่งที่ติดกับขาเด็กอ่อนดังเวลาเงียบๆมากๆ จะได้ยิ่งชัดมาก
นั้นทำให้ดิฉันเครียดมากว่า จริงๆแล้วการเข้า ร.พ. ครั้งที่แล้ว ดิฉันแค่ปวดท้องประจำเดือนหรือแท้งกันแน่เท่านั้นยังไม่พอ ดิฉันไปดูดวง เข้าก็บอกว่า มีเด็กอยู่ในบ้านดิฉัน แต่ดิฉันก็ต้องตกใจอีก เมื่อบอกว่าเด็กในบ้านมีอยู่สองตน ขอย้ำว่าสองตน คตนนะค่ะไม่ใช่คน เป็นหญิง1ชายหนึ่ง (ซึ่ง ก่อนหน้านี่ อาของดิฉันได้พบเด็กชายไปแล้ว ซึ่งเคยถกเถียงกันว่าเป็นน้องชายดิฉันเอง) จนกระทั่งตอนนี้ ดิฉันเครียดมากๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น
ไม่รู้ว่ามันอะไรกันแน่ในบ้านดิฉันมีอะไรแปลกประหลาดมากมาย จนยากที่จะบรรยายออกมาได้หมด ดิฉันคงมีเรื่องเล่าอีกมากมาย
ขอบคุณข้อมูลจาก www.shockfmclub.com
จนกระทั่งรอบเดือนครั้งแรกที่ปวดขึ้น แล้วก็ปวดมากจนต้องเข้า ร.พ. พอไปเค้าก้ตรวจๆ สุดท้ายลงความเห็นว่า ประจำเดือนน่าจะไหลย้อนกลับเข้ามดลูก เลยไม่ติดใจอะไร แต่คนคนนึงที่คิดตรงข้ามกับผลตรวจคือ เพื่อนของดิฉัน เนื่องด้วยขณะนั้น ดิฉันมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับแฟน เพื่อนจึงเข้าใจว่าดิฉันแท้ง ตอนแรกก้ไม่ได้คิดอะไรเพราะ หมอบอกว่าแค่ประจำเดือนไหลย้อนเข้ามดลูกเท่านั้น
แต่พอหลังจากนั้น วันเกิดดิฉันก็มาถึง ทุกอย่างดีไปหมด พ่อไปซื้อขนมเค้กมาให้ น้องเดินเอามามาให้ ปิดไฟทั้งบ้าน ที่อย่างดูดีมาก พ่อได้ถ่ายรุปเก็บไว้ก็ปกติทุกอย่าง แต่พอสองคืนให้หลัง ขณะที่ดิฉันกับแม่และน้องชายนอนกันอยุ่ แม่ได้ปลุกฉันขึ้น ตอนประมาณตี3กว่าๆ แล้วบอกกับดิฉันว่า "น้องพลอยตื่นเร็ว ม้ามีไรจะบอก" ดิฉันมัวแต่งัวเงียๆ "น้องพลอย เมื่อกี้มีเด็กมาดึงขาม้า" ดิฉันตกใจตื่นเต็มตา
เข้าขั้นตะลึงนึกอะไรไม่ออกทีเดียว....แม่บอกว่า แม่นอนตะแคงงอขาอยู่ แล้วรู้สึกได้เลยว่ามีมือเล็กๆ มาดึงขาแม่ขาหนึ่งดึงจนขาตึงทีเดียว แม่รู้สึกได้ว่า การจับ จับแบบกรีดนิ้วจับ คือเหมือนๆว่า ใช้แค่นิ้วชี้กับนิ้วโป้งจับ แล้วดึงจับขาข้างนึงตึงเลย ดิฉันได้แต่งง แล้วขณะนั้นเองพ่อก้ไปทำงานเพอ่งกลับมา เต้าถามว่าทำไมยังไม่นอนกัน แม่ก็เล่าให้ฟัง พ่อจึงเอารูปให้ดู รูปนั้น คือรูปที่ถ่ายในวันเกิดดิฉันเอง
เป็นรูปที่น้องชายถือเค้กเดินเข้ามา ข้างๆน้องชายมีเงาเด็กผู้หญิงยืนอยู่ข้างๆ กำลังยิ้ม เป็นเงาเทาๆ ที่มองเห็นได้ชัดมากๆ เห็นชัดมาว่าเป็นเด็กผู้หญฺงยิ้มเบ้าตาลึกโบ้ว ไม่มีลูกตา ช่สงเป็นภาพทื่น่ากลัวมาก สำหรับเจ้าของวันเกิดอย่างดิฉัน ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องมาเห็นวันเดียวกับที่แม่โดนจับขาอีก......ต่อมาจากนั้น ฉันก็เริ่มได้ยินเสียงกระดิ่งคล้ายๆ กระดิ่งที่ติดกับขาเด็กอ่อนดังเวลาเงียบๆมากๆ จะได้ยิ่งชัดมาก
นั้นทำให้ดิฉันเครียดมากว่า จริงๆแล้วการเข้า ร.พ. ครั้งที่แล้ว ดิฉันแค่ปวดท้องประจำเดือนหรือแท้งกันแน่เท่านั้นยังไม่พอ ดิฉันไปดูดวง เข้าก็บอกว่า มีเด็กอยู่ในบ้านดิฉัน แต่ดิฉันก็ต้องตกใจอีก เมื่อบอกว่าเด็กในบ้านมีอยู่สองตน ขอย้ำว่าสองตน คตนนะค่ะไม่ใช่คน เป็นหญิง1ชายหนึ่ง (ซึ่ง ก่อนหน้านี่ อาของดิฉันได้พบเด็กชายไปแล้ว ซึ่งเคยถกเถียงกันว่าเป็นน้องชายดิฉันเอง) จนกระทั่งตอนนี้ ดิฉันเครียดมากๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น
ไม่รู้ว่ามันอะไรกันแน่ในบ้านดิฉันมีอะไรแปลกประหลาดมากมาย จนยากที่จะบรรยายออกมาได้หมด ดิฉันคงมีเรื่องเล่าอีกมากมาย
ขอบคุณข้อมูลจาก www.shockfmclub.com
วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2551
วัวธนู เลี้ยงดีเป็นคุณ เลี้ยงไม่ดีเป็นโทษ
นี่เป็นประสบการณ์ของเพื่อนของผมเล่าให้ฟัง
เรื่องก็มีอยู่ว่าเพื่อนผมมันเป็นคนที่บ้าไสยศาสตร์เอามากๆๆ แล้วมันก็ชอบที่จะหาของมาเลี้ยงเช่น กุมารทอง รักยม และมันยังมีคาถาต่างๆ ที่มันได้มาตอนบวชเรียนอีกเยอะแยะ มีอยู่วันหนึ่ง มันเอาควายธนู ของอาจารย์ท่านหนึ่ง มาเลี้ยงลักษณะเป็นเนื้อโลหะ สีทองอมดำ
ที่ผมเห็นก็เพราะมันเคยโชว์ให้ผมดู มันบอกว่าถ้าเลี้ยงไม่ดีไม่มีคาถากำกับ วัวมันจะไม่อยู่ แต่มันเลี้ยงได้ซักประมาณ เดือน กว่า มันบอกว่ามีเพื่อนผมอีกคนหนึ่งขอไปเลี้ยงเพื่อนผมเลยให้ไปเลี้ยง แต่พอให้ไปได้ อาทิตย์เดียวก็มีเหตุเกิดขึ้น คือ กลางดึกแม่ของเพื่อนผมตื่นออกมากลางดึก
แล้วแม่เพื่อนผมคนนี้เค้าเป็นคนไม่ทานเนื้อเพราะนับถือเจ่าแม่กวนอิม ก็เห็นวัวตัวหนึงมากินหญ้าอยู่หน้าบ้าน ทั้งๆที่รอบรัศมี 1 กิโลเมตร ไม่มีใครเลี้ยงวัว แม่เค้าก็ไม่คิดอะไร ตื่นเช้าก็มาก็พูดให้เพื่อนผมฟัง เพื่อนผมมันก็ไปหาคนที่มันให้วัวธนูไปเลี้ยงแล้วก็ถามว่าดูแลยังไง ให้วัวธนูกลับมาหาเจ้าของเดิม เพื่อนผมมันก็เลยเอาคืน แล้วมันก็เอามาเลี้ยงเหมือนเดิม มันบอกว่าเวลาไปไหนมาไหนปลอดภัย แถมยังกันภูตผีปีศาจ
รวมทั้งสิ่งอัปมงคลที่จะเข้ามาในบริเวณบ้านของมัน เรื่องก็มีอยู่เท่านี้คับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.shockfmclub.com
เรื่องก็มีอยู่ว่าเพื่อนผมมันเป็นคนที่บ้าไสยศาสตร์เอามากๆๆ แล้วมันก็ชอบที่จะหาของมาเลี้ยงเช่น กุมารทอง รักยม และมันยังมีคาถาต่างๆ ที่มันได้มาตอนบวชเรียนอีกเยอะแยะ มีอยู่วันหนึ่ง มันเอาควายธนู ของอาจารย์ท่านหนึ่ง มาเลี้ยงลักษณะเป็นเนื้อโลหะ สีทองอมดำ
ที่ผมเห็นก็เพราะมันเคยโชว์ให้ผมดู มันบอกว่าถ้าเลี้ยงไม่ดีไม่มีคาถากำกับ วัวมันจะไม่อยู่ แต่มันเลี้ยงได้ซักประมาณ เดือน กว่า มันบอกว่ามีเพื่อนผมอีกคนหนึ่งขอไปเลี้ยงเพื่อนผมเลยให้ไปเลี้ยง แต่พอให้ไปได้ อาทิตย์เดียวก็มีเหตุเกิดขึ้น คือ กลางดึกแม่ของเพื่อนผมตื่นออกมากลางดึก
แล้วแม่เพื่อนผมคนนี้เค้าเป็นคนไม่ทานเนื้อเพราะนับถือเจ่าแม่กวนอิม ก็เห็นวัวตัวหนึงมากินหญ้าอยู่หน้าบ้าน ทั้งๆที่รอบรัศมี 1 กิโลเมตร ไม่มีใครเลี้ยงวัว แม่เค้าก็ไม่คิดอะไร ตื่นเช้าก็มาก็พูดให้เพื่อนผมฟัง เพื่อนผมมันก็ไปหาคนที่มันให้วัวธนูไปเลี้ยงแล้วก็ถามว่าดูแลยังไง ให้วัวธนูกลับมาหาเจ้าของเดิม เพื่อนผมมันก็เลยเอาคืน แล้วมันก็เอามาเลี้ยงเหมือนเดิม มันบอกว่าเวลาไปไหนมาไหนปลอดภัย แถมยังกันภูตผีปีศาจ
รวมทั้งสิ่งอัปมงคลที่จะเข้ามาในบริเวณบ้านของมัน เรื่องก็มีอยู่เท่านี้คับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.shockfmclub.com
วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2551
เลี้ยงวิญญาณ 2
สวัสดีคับทุกคนต่อเนื่องจากเรื่องเเรกนะคับตอนเด็กๆผมจะสนิทกับปู่ผมมากๆไปไหนไปด้วยกันตลอด
มีอยู่วันหนึ่งมีคนรู้จักกับปู่ผมซึ่งผมก้อไม่รู้จักเขาเหมือนกันมาบอกให้ช่วยไปดูอาการแฟนเขาให้หน่อย พอไปถึงบ้านเขาสิ่งที่ผมเห็นคือยายแก่ๆกำลังทำท่าเป็นลิงเดินวนไปวนมารอบบ้าน ปู่ผมจึงเรียกวิญญาณให้มาเข้าร่างของแฟนยายคนนี้ถามไปถามมาได้เรื่องว่า
ก่อนที่เขาจะย้ายมาบ้านนี้นั้นเจ้าของบ้านเก่าเลี้ยงวิญญาณไว้พอย้ายบ้านไปแล้วไม่เอามันไปด้วยทิ้งให้มันอยู่ที่นี่พอยายคนนี้ย้ายเข้ามาอยู่แล้วดันไปสร้างห้องน้ำทับที่ๆมันอยู่ มันบอกว่ามาฉี่ขี้รดมันทุกวันมันเหม็นมันเลยมาแกล้งยายคนนี้
ปู่ของผมเลยถามมันว่าเขาไม่รู้อย่าไปแกล้งเขาเลย แล้วมันก้อบอกว่าถ้างั้นมึงไปหาเลือดลิงมาให้กูกินแล้วกูจะเลิกแกล้งซึ่งเสียงที่พูดผ่านแฟนยายแกออกมาเป็นเสียงผู้ชายวัยฉกรรจ์ผมถึงกับขนลุกเลยแต่ผมก้อชินแล้วคับผมเห็นมาเยอะแล้วคับแต่ปัจจุบันปู่ของผมได้เสียไปแล้วคับการเลี้ยงวิญญาณแล้วแต่คนเลี้ยงจะให้มันกินไรอย่างกรณีของยายคนนี้เจ้าของมันให้มันกินเลือดลิงปีละครั้งส่วนของปู่ผมให้พวกมันกินเลือดไก่
กระดูกไก่บ้างเดือนละครั้งคับส่วนแฟนป้าผมที่เล่าให้ฟังในเรื่องแรกนั้นให้มันกินเลือดไก่เหมือนกันแต่ปีละครั้งการเลี้ยงวิญญาณนั้นถ้าเลี้ยงมันดีมันก้อจะช่วยดูแลบ้านแลลูกหลานให้เราไว้ผมจะเล่าให้ฟังในเรื่องที่3นะคับ แต่ถ้าเลี้ยงมันไม่ดีมันจะเข้าตัวถึงกับเป็นบ้าได้เลย อย่างปู่ผมเลี้ยงไว้เยอะเหมือนกันไว้ช่วยดูแลพวกผมบ้าง เฝ้าสวนบ้าง ซึ่งสมัยก่อนนั้นชาวอิสลามที่มีวิชานิยมเลี้ยงวิญญาณหรือเรียกอีกอย่างว่าญิน
ปล. การเลี้ยงวิญญาณต้องมีวิชาจิงๆนะคับไม่ใช่อยากเลี้ยงก้อเลี้ยงได้มันน่ากลัวกว่าที่คิดนะคับ
มีอยู่วันหนึ่งมีคนรู้จักกับปู่ผมซึ่งผมก้อไม่รู้จักเขาเหมือนกันมาบอกให้ช่วยไปดูอาการแฟนเขาให้หน่อย พอไปถึงบ้านเขาสิ่งที่ผมเห็นคือยายแก่ๆกำลังทำท่าเป็นลิงเดินวนไปวนมารอบบ้าน ปู่ผมจึงเรียกวิญญาณให้มาเข้าร่างของแฟนยายคนนี้ถามไปถามมาได้เรื่องว่า
ก่อนที่เขาจะย้ายมาบ้านนี้นั้นเจ้าของบ้านเก่าเลี้ยงวิญญาณไว้พอย้ายบ้านไปแล้วไม่เอามันไปด้วยทิ้งให้มันอยู่ที่นี่พอยายคนนี้ย้ายเข้ามาอยู่แล้วดันไปสร้างห้องน้ำทับที่ๆมันอยู่ มันบอกว่ามาฉี่ขี้รดมันทุกวันมันเหม็นมันเลยมาแกล้งยายคนนี้
ปู่ของผมเลยถามมันว่าเขาไม่รู้อย่าไปแกล้งเขาเลย แล้วมันก้อบอกว่าถ้างั้นมึงไปหาเลือดลิงมาให้กูกินแล้วกูจะเลิกแกล้งซึ่งเสียงที่พูดผ่านแฟนยายแกออกมาเป็นเสียงผู้ชายวัยฉกรรจ์ผมถึงกับขนลุกเลยแต่ผมก้อชินแล้วคับผมเห็นมาเยอะแล้วคับแต่ปัจจุบันปู่ของผมได้เสียไปแล้วคับการเลี้ยงวิญญาณแล้วแต่คนเลี้ยงจะให้มันกินไรอย่างกรณีของยายคนนี้เจ้าของมันให้มันกินเลือดลิงปีละครั้งส่วนของปู่ผมให้พวกมันกินเลือดไก่
กระดูกไก่บ้างเดือนละครั้งคับส่วนแฟนป้าผมที่เล่าให้ฟังในเรื่องแรกนั้นให้มันกินเลือดไก่เหมือนกันแต่ปีละครั้งการเลี้ยงวิญญาณนั้นถ้าเลี้ยงมันดีมันก้อจะช่วยดูแลบ้านแลลูกหลานให้เราไว้ผมจะเล่าให้ฟังในเรื่องที่3นะคับ แต่ถ้าเลี้ยงมันไม่ดีมันจะเข้าตัวถึงกับเป็นบ้าได้เลย อย่างปู่ผมเลี้ยงไว้เยอะเหมือนกันไว้ช่วยดูแลพวกผมบ้าง เฝ้าสวนบ้าง ซึ่งสมัยก่อนนั้นชาวอิสลามที่มีวิชานิยมเลี้ยงวิญญาณหรือเรียกอีกอย่างว่าญิน
ปล. การเลี้ยงวิญญาณต้องมีวิชาจิงๆนะคับไม่ใช่อยากเลี้ยงก้อเลี้ยงได้มันน่ากลัวกว่าที่คิดนะคับ
เลี้ยงวิญญาณ
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ3ปีที่แล้ว เรื่องมีอยู่ว่าผมเป็นคนนับถือศาสนาอิสลาม แล้วแฟนของป้าผมเขาเป็นคนที่เลี้ยงพวกวิญญาณ ซึ่งวิญญาณเหล่านี้ต่างไม่ค่อยชอบป้าผมเพราะป้าผมชอบไปว่า เวลาที่พวกมันเสียงดังตอนกลางคืน
พอป้าผมกลับมาที่บ้านผมมันก็ตามมา พอมันมามันก็มาแกล้งผมตอนกลางคืน พอคืนที่3ผมทนไม่ไหวแล้วผมบอกกับปู่ของผมึ่งมีวิชาด้านนี้อยู่บ้าง ปู่ของผมเริ่มทำพิธีเรียกผีให้มาเข้าป้าผม แล้วปู่ก็ถามว่ามึงมาแกล้งหลานกูทำไม มันก็ตอบว่ากูไม่ชอบป้ามัน แล้วมึงแกล้งหลานกูอย่งไง มันทำท่าให้ดูเอามือกดมือ เอาเข่ากดเข่า แล้วก้มมาหัวเราะข้างหูของผม เท่านั้นแหละคับผมน้ำตาแตกเลยทั้งที่อายุก็ 18แล้ว แล้วปู่ผมถามว่าเมิงมาเมิงอยู่ไหน กูอยู่บนต้นมะม่วงข้างๆบ้าน ปู่ถามอีกว่าเมิงจะไปไหม มันบอกว่าไม่ไป ปู่ผมก็ยกนิ้วชี้ขึ้นมาแล้วท่องคาถาแล้วสับไปที่แขนของป้าผมเท่านั้นแหละคับเสียงอันโหยหวนก็ร้องลั่นบ้านผมเลยแล้วมันก็ออกไปจากป้าผม .ปล.การเลี้ยงวิญญาณต้องมีวิชาจิงๆถึงจะคุมมันอยู่ได้นะคับ
วันหลังผมมีเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณอีกเยอะไว้จะเล่าให้ฟังอีก
พอป้าผมกลับมาที่บ้านผมมันก็ตามมา พอมันมามันก็มาแกล้งผมตอนกลางคืน พอคืนที่3ผมทนไม่ไหวแล้วผมบอกกับปู่ของผมึ่งมีวิชาด้านนี้อยู่บ้าง ปู่ของผมเริ่มทำพิธีเรียกผีให้มาเข้าป้าผม แล้วปู่ก็ถามว่ามึงมาแกล้งหลานกูทำไม มันก็ตอบว่ากูไม่ชอบป้ามัน แล้วมึงแกล้งหลานกูอย่งไง มันทำท่าให้ดูเอามือกดมือ เอาเข่ากดเข่า แล้วก้มมาหัวเราะข้างหูของผม เท่านั้นแหละคับผมน้ำตาแตกเลยทั้งที่อายุก็ 18แล้ว แล้วปู่ผมถามว่าเมิงมาเมิงอยู่ไหน กูอยู่บนต้นมะม่วงข้างๆบ้าน ปู่ถามอีกว่าเมิงจะไปไหม มันบอกว่าไม่ไป ปู่ผมก็ยกนิ้วชี้ขึ้นมาแล้วท่องคาถาแล้วสับไปที่แขนของป้าผมเท่านั้นแหละคับเสียงอันโหยหวนก็ร้องลั่นบ้านผมเลยแล้วมันก็ออกไปจากป้าผม .ปล.การเลี้ยงวิญญาณต้องมีวิชาจิงๆถึงจะคุมมันอยู่ได้นะคับ
วันหลังผมมีเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณอีกเยอะไว้จะเล่าให้ฟังอีก
ใครมากราบพระ
เรื่องที่2นะครับพี่ๆทีมงานคือเรื่องมีอยู่ว่าแฟนผมเค้าเป็นคนชะตาขาดเห็นเค้าบอกผมอย่างนี้คือเค้าจมน้ำตายมาครั้งหนึ่งแล้วแต่ตายไปแค่5นาทีแล้วก็ฟื้นแม่เค้าจึงได้ไปดูหมอที่วัดพระท่านก็บอกให้ไปต่อชะตาโดยนอนอยู่กลางศาลาเปรียญเก่าๆในวัดแล้วคลุมด้วยผ้าคลุมศพกี่วันไม่รุนะเท่าที่แฟนผมเล่าให้ฟัง
คือทุกคืนที่เธอนอนแล้วคลุมโปงเหมือนศพพอดึกๆหลังเที่ยงคืนจะมีหมาหอนแล้วแฟนผมเค้าไม่ค่อยกลัวอยู่แล้วจึงได้แอบแง้มผ้าออกมาดูก็เห็นว่ามีผูชายวัยกลางคนนุ่งชุดขาวมานั่งกราบพระเวลาหลังเที่ยงคืนที่สำคัญหน้าตาไม่ได้หน้ากลัวเลยแต่เป็นใครก็คงรู้ว่าจะมีใครมาไหว้พระตอนนี้รุ่งเช้าเธอจึงเอาเรื่องไปถามพระท่านแล้วบอกรูปร่างหน้าตาให้พระท่านฟังพระท่านเลยชี้ให้ดูรูปคนๆนี้รึป่าวแฟนผมก็บอกว่าใชพระท่านก็เลยบอกไปว่าลุงคนนี้แกเป็นคนสร้างศาลาก่อนที่จะเสียชีวิตนั่นแหละแฟนผมคงเจอดีเข้าไปแล้ว**
คือทุกคืนที่เธอนอนแล้วคลุมโปงเหมือนศพพอดึกๆหลังเที่ยงคืนจะมีหมาหอนแล้วแฟนผมเค้าไม่ค่อยกลัวอยู่แล้วจึงได้แอบแง้มผ้าออกมาดูก็เห็นว่ามีผูชายวัยกลางคนนุ่งชุดขาวมานั่งกราบพระเวลาหลังเที่ยงคืนที่สำคัญหน้าตาไม่ได้หน้ากลัวเลยแต่เป็นใครก็คงรู้ว่าจะมีใครมาไหว้พระตอนนี้รุ่งเช้าเธอจึงเอาเรื่องไปถามพระท่านแล้วบอกรูปร่างหน้าตาให้พระท่านฟังพระท่านเลยชี้ให้ดูรูปคนๆนี้รึป่าวแฟนผมก็บอกว่าใชพระท่านก็เลยบอกไปว่าลุงคนนี้แกเป็นคนสร้างศาลาก่อนที่จะเสียชีวิตนั่นแหละแฟนผมคงเจอดีเข้าไปแล้ว**
เจอของดีเข้าให้
หวัดดีทุกคนนะครับผมเป็นสมาชิกใหม่นะครับเรื่องก็มีอยู่ว่าแฟนผมเค้าเรียนมหาลัยในกทม.นะเรียนเกี่ยวกับท่องเที่ยวหรือโรงแรมอะไรซักอย่างนี่แหละทุกๆปีเค้าจะจัดทำทัวในคณะหรือในห้องปีละครั้งซึ่งปีนี้ได้ไปที่จ.สุโขทัยแล้วก็ได้ไปพักที่โรงแรงหนึ่งซึ่งผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าโรงแรมไหนวันแรกที่เข้าพักโรงแรมทุกคนจะสังเกตุเห็นศาลเจ้าที่หรืออะไรซักอย่างหนึ่งอยู่หน้าห้องในโรงแรมก็คือทุกคนที่เห็นจะไม่พักที่
ห้องนั้นซักคนเลยเหลือแฟนผมเนี่ยแหละมันบอกมันไม่เห็นเลยตั้งแต่ที่เข้ามามันเลยพักที่ห้องนั้นคืนนั้นพอทำธุระส่วนตัวเสร็จก็จะไปรวมกันที่ห้องใดห้องหนึ่งเพื่อประชุมแล้วก็เล่นไพ่กินเหล้าตามประสานะครับแล้วก็แยกย้ายกันกลับพอดีแฟนผมก็กลับเมื่อมาถึงหน้าห้องกำลังจะเปิดประตูก็รุสึกว่าเย็นๆบริเวณต้นคอคือรุ้เลยว่ามีอะไรอยู่ด้านหลังคือลืมบอกไปว่าแฟนผมเค้าเจอผีบ่อยมากเจอจนชินแบบว่าเจอก็รู้สึกกลัวเท่านั้นไม่ถึงกับกรี้ดสลบ
พอแฟนผมรู้สึกเย็นๆที่ต้นคอเธอก็ได้เหลียวไปมองเต็มๆครับพี่น้องผู้หญิงชุดขาวหน้าซีดดวงตาลึกโบ๋ยืนอยู่ที่ด้านหลังแล้วแสยะยิ้มให้เธอแฟนผมก็เลยตั้งสติรีบเปิดประตูห้องแล้วไปเอาเงินเพื่อที่จะไปเล่นไพ่ฆ่าเวลาพอเปิดประตูออกมาแล้วปรากฏว่าผู้หญิงคนนั้นหายไปแล้วเธอจึงรีบกลับไปหาเพื่อนพอดีเพื่อนอีกคนนึงจะมาเอาที่ชาร์ตแบตในห้องแฟนผมๆก็เลยเอากุญแจห้องให้พร้อมกับกำชับเพื่อนว่า เดี๋ยวมึงเจอดีแน่ มันก็ไม่ได้คิดอะไรสักพักนึงก็เห็นเพื่อนวิ่งแล้วร้องให้ตัวสั่นกับมาจึงถามกันว่าเป็นอะไรเพื่อนคนนั้นบอกว่าเจอผี
ผู้หญิงลอยมาทางหน้าต่างชุดขาวผมยาวซึ่งก็ตรงกับที่แฟนผมเจอทุกคนจึงนั่งสั่นไม่กล้าที่จะไปนอนจึงตัดสินใจว่าจะเล่นไพ่จนเช้าแล้วมีเพื่อนอีกคนหนึ่งอยากลองของไม่กลัวเลยบอกว่าจะไปนอนดูว่ามันมีอะไรแล้วเพื่อนคนนั้นก็ไปนอนพร้อมกับโทมาบอกเป็นพักๆว่าไม่เห็นมีอะไรสักพักหนึ่งสงสัยผู้หญิงคนนั้นคงจะหลับไปแล้วกลุ่มเพื่อนที่นั่งกลัวกันอยู่จึงได้ตัดสินใจที่จะพากันไปดูว่ายัยคนนั้นนอนจิงรึป่าวแล้วก็พากันไป ***ทุกคนคิดมั้ยว่าสิ่งที่เพื่อนๆกลุ่มนั้นเดินไปเจออะไรภาพเบื้องหน้าที่เห็นคือเพื่อนคนที่อยากลองของนั่งพับเพียบอยู่ข้างหน้าศาลสองมือพนมหลับตาคล้ายๆเหมือนคนละเมอบ่นในลำคอพึมพำๆพวงมาลัยที่แห้งเหี่ยวแล้วยังห้อยอยู่ในมืออยู่เลย *
*ทุกคนจึงรวบรวมสติแล้วเข้าไปปลุกเพื่อนคนนั้นมันก็เล่าให้ฟังว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งมาเข้าฝันบอกว่าอยากลองดีกับกูเหรอแล้วสั่งให้ไปขอคมาที่ศาลหน้าห้องเดี๋ยวนี้เท่านั้นแหละคืนนั้นไม่มีใครได้นอนเลยซักคนอาจจะยาวและเรียบเรียงคำพูดไม่ค่อยรู้เรื่องแต่ว่าเรื่องที่ผมเล่ามาคือเรื่องจิงไม่ได้แต่งอะไรทั้งนั้นคือฟังมาจากแฟนฟังไปก็ขนลุกไปเพราะผมเป็นคนขี้กลัวมากครับ
ห้องนั้นซักคนเลยเหลือแฟนผมเนี่ยแหละมันบอกมันไม่เห็นเลยตั้งแต่ที่เข้ามามันเลยพักที่ห้องนั้นคืนนั้นพอทำธุระส่วนตัวเสร็จก็จะไปรวมกันที่ห้องใดห้องหนึ่งเพื่อประชุมแล้วก็เล่นไพ่กินเหล้าตามประสานะครับแล้วก็แยกย้ายกันกลับพอดีแฟนผมก็กลับเมื่อมาถึงหน้าห้องกำลังจะเปิดประตูก็รุสึกว่าเย็นๆบริเวณต้นคอคือรุ้เลยว่ามีอะไรอยู่ด้านหลังคือลืมบอกไปว่าแฟนผมเค้าเจอผีบ่อยมากเจอจนชินแบบว่าเจอก็รู้สึกกลัวเท่านั้นไม่ถึงกับกรี้ดสลบ
พอแฟนผมรู้สึกเย็นๆที่ต้นคอเธอก็ได้เหลียวไปมองเต็มๆครับพี่น้องผู้หญิงชุดขาวหน้าซีดดวงตาลึกโบ๋ยืนอยู่ที่ด้านหลังแล้วแสยะยิ้มให้เธอแฟนผมก็เลยตั้งสติรีบเปิดประตูห้องแล้วไปเอาเงินเพื่อที่จะไปเล่นไพ่ฆ่าเวลาพอเปิดประตูออกมาแล้วปรากฏว่าผู้หญิงคนนั้นหายไปแล้วเธอจึงรีบกลับไปหาเพื่อนพอดีเพื่อนอีกคนนึงจะมาเอาที่ชาร์ตแบตในห้องแฟนผมๆก็เลยเอากุญแจห้องให้พร้อมกับกำชับเพื่อนว่า เดี๋ยวมึงเจอดีแน่ มันก็ไม่ได้คิดอะไรสักพักนึงก็เห็นเพื่อนวิ่งแล้วร้องให้ตัวสั่นกับมาจึงถามกันว่าเป็นอะไรเพื่อนคนนั้นบอกว่าเจอผี
ผู้หญิงลอยมาทางหน้าต่างชุดขาวผมยาวซึ่งก็ตรงกับที่แฟนผมเจอทุกคนจึงนั่งสั่นไม่กล้าที่จะไปนอนจึงตัดสินใจว่าจะเล่นไพ่จนเช้าแล้วมีเพื่อนอีกคนหนึ่งอยากลองของไม่กลัวเลยบอกว่าจะไปนอนดูว่ามันมีอะไรแล้วเพื่อนคนนั้นก็ไปนอนพร้อมกับโทมาบอกเป็นพักๆว่าไม่เห็นมีอะไรสักพักหนึ่งสงสัยผู้หญิงคนนั้นคงจะหลับไปแล้วกลุ่มเพื่อนที่นั่งกลัวกันอยู่จึงได้ตัดสินใจที่จะพากันไปดูว่ายัยคนนั้นนอนจิงรึป่าวแล้วก็พากันไป ***ทุกคนคิดมั้ยว่าสิ่งที่เพื่อนๆกลุ่มนั้นเดินไปเจออะไรภาพเบื้องหน้าที่เห็นคือเพื่อนคนที่อยากลองของนั่งพับเพียบอยู่ข้างหน้าศาลสองมือพนมหลับตาคล้ายๆเหมือนคนละเมอบ่นในลำคอพึมพำๆพวงมาลัยที่แห้งเหี่ยวแล้วยังห้อยอยู่ในมืออยู่เลย *
*ทุกคนจึงรวบรวมสติแล้วเข้าไปปลุกเพื่อนคนนั้นมันก็เล่าให้ฟังว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งมาเข้าฝันบอกว่าอยากลองดีกับกูเหรอแล้วสั่งให้ไปขอคมาที่ศาลหน้าห้องเดี๋ยวนี้เท่านั้นแหละคืนนั้นไม่มีใครได้นอนเลยซักคนอาจจะยาวและเรียบเรียงคำพูดไม่ค่อยรู้เรื่องแต่ว่าเรื่องที่ผมเล่ามาคือเรื่องจิงไม่ได้แต่งอะไรทั้งนั้นคือฟังมาจากแฟนฟังไปก็ขนลุกไปเพราะผมเป็นคนขี้กลัวมากครับ
ผีซ้อนท้ายมอร์ไซ
จำได้ว่าช่วงนั้นผมลงเรียนซัมเมอร์ครับ มีอยู่วันหนึ่งที่ผมต้องอยู่เครียงานส่งอาจารย์ให้ทันเสร็จวันพรุ่งนี้
ผมก็เลยอยู่ทำงานต่อที่โรงเรียนจนค่ำครับ จำได้ว่าคืนนั้นเป็นวันพระ และอีกอย่างโรงเรียนที่ผมเรียนก็เป็นพื้นที่ป่าช้าเก่าครับ แต่ว่าก็ไม่มีอะไรหรอกครับ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดกับผมนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นที่โรงเรียน แต่มันเกิดขึ้นที่ทางเข้าหมู่บ้านผม ผมเองเป็นเด็กต่างจังหวัดครับ แถวบ้านยังกันดารมากเลย ถนนหนทางยังเป็นลูกรังอยู่ สองข้างทางก็มีแต่ป่าครับ วันนั้นผมทำรายเสร็จก็ป่าเข้าไปสัก 2 ทุ่มเห็นจะได้
ผมขับรถออกมาจากโรงเรียนมุ่งตรงกลับหมู่บ้านครับ เพราะเริ่มรู้สึกหิวมาก ๆ และก็กลัวพ่อกับแม่จะเป็นห่วง จำได้ว่าวันนั้นอากาศร้อนอบอ้าวมากเลย เพราะเป็นช่วงหน้าร้อน ตอนนั้นผมขับมอไซอีกประมาณ 5 กิโลก็จะถึงหมู่บ้านแล้วครับ แต่ก่อนจะเข้าหมู่บ้านผมจะต้องขับมอไซผ่านสะพานข้ามคลองเสียก่อน จำได้ว่าตอนนั้นขับรถไปใกล้จะถึงสะพานแล้วหล่ะครับ อยู่ ๆ บรรยากาศรอบตัวก็เงียบวังเวงเอาดื้อ ๆ เลยครับ ตอนนั้นผมรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ยังไงบอกไม่ถูกเลย อยู่ดีขนทั่วตัวก็พร้อมใจกันลุกเลยครับพอผมขับมอไซถึงสะพาน สักพักผมรู้สึกได้เลยว่ารถมีอาการเสียการทรงตัวเล็กน้อยเหมือนมีใครกระโดดขึ้นมานั่งซ้อนท้าย ตอนนั้นผมเองก็เริ่มกลัว ๆ แล้วหล่ะครับ สักพักผมรู้สึกเหมือนกับมีมือเย็น ๆ
มาจับที่หัวใหล่ทั้งสองข้างครับ ตอนนั้นยอมรับว่ากลัวมาก ๆ อยากตะโกนดัง ๆ เลยแต่ทำไม่ได้ครับ ผมพยายามคุมสติสุดชีวิตเพราะขับมอไซอยู่ ตอนนั้นไม่อยากหันหลังไปดูเลยครับว่าอะไร หรือแม้แต่จะมองกระจกส่องหลัง สักพักมือนั้นค่อย ๆ เลื่อนลงมาจับที่เอวผมครับ พระเจ้าตอนนั้นอยากร้องให้มากเลย แต่ผมเองก็อดใจไม่ไหวเหมือนกันครับเลยมองส่องกระจกหลังดู ให้ตายเหอะ ผมเห็นไอ้คนซ้อนท้ายผมอยู่ไม่มีหัวเลยครับ แถวตัวยังดำเหมือนกับโดนไฟเผามาทั้งตัวเลยครับ ตอนนั้นตกใจมากเลยครับ พยายามคุมสติสุดชีวิตขับรถกลับบ้าน แต่เหลือระยะทางอีก 1 กิโลครับ
แต่ตอนนั้นรู้สึกเหมือนเป็นสิบกิโลเลยครับ เพราะอยากให้ถึงบ้านไว ๆ สักพักพอขับรถมาถึงทางเข้าหมู่บ้าน อาการต่าง ๆ ก็หายไปหมดเลยครับ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย แม้แต่ไอ้คนซ้อนท้ายเองก็หายไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้เหมือนกันครับ เหตุการณ์วันนั้นผมยังจำได้ดีจนถึงวันนี้เลยครับ นึกทีไรยังขนลุกทุกทีเลย บรื๋อส์.....
ผมก็เลยอยู่ทำงานต่อที่โรงเรียนจนค่ำครับ จำได้ว่าคืนนั้นเป็นวันพระ และอีกอย่างโรงเรียนที่ผมเรียนก็เป็นพื้นที่ป่าช้าเก่าครับ แต่ว่าก็ไม่มีอะไรหรอกครับ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดกับผมนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นที่โรงเรียน แต่มันเกิดขึ้นที่ทางเข้าหมู่บ้านผม ผมเองเป็นเด็กต่างจังหวัดครับ แถวบ้านยังกันดารมากเลย ถนนหนทางยังเป็นลูกรังอยู่ สองข้างทางก็มีแต่ป่าครับ วันนั้นผมทำรายเสร็จก็ป่าเข้าไปสัก 2 ทุ่มเห็นจะได้
ผมขับรถออกมาจากโรงเรียนมุ่งตรงกลับหมู่บ้านครับ เพราะเริ่มรู้สึกหิวมาก ๆ และก็กลัวพ่อกับแม่จะเป็นห่วง จำได้ว่าวันนั้นอากาศร้อนอบอ้าวมากเลย เพราะเป็นช่วงหน้าร้อน ตอนนั้นผมขับมอไซอีกประมาณ 5 กิโลก็จะถึงหมู่บ้านแล้วครับ แต่ก่อนจะเข้าหมู่บ้านผมจะต้องขับมอไซผ่านสะพานข้ามคลองเสียก่อน จำได้ว่าตอนนั้นขับรถไปใกล้จะถึงสะพานแล้วหล่ะครับ อยู่ ๆ บรรยากาศรอบตัวก็เงียบวังเวงเอาดื้อ ๆ เลยครับ ตอนนั้นผมรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ยังไงบอกไม่ถูกเลย อยู่ดีขนทั่วตัวก็พร้อมใจกันลุกเลยครับพอผมขับมอไซถึงสะพาน สักพักผมรู้สึกได้เลยว่ารถมีอาการเสียการทรงตัวเล็กน้อยเหมือนมีใครกระโดดขึ้นมานั่งซ้อนท้าย ตอนนั้นผมเองก็เริ่มกลัว ๆ แล้วหล่ะครับ สักพักผมรู้สึกเหมือนกับมีมือเย็น ๆ
มาจับที่หัวใหล่ทั้งสองข้างครับ ตอนนั้นยอมรับว่ากลัวมาก ๆ อยากตะโกนดัง ๆ เลยแต่ทำไม่ได้ครับ ผมพยายามคุมสติสุดชีวิตเพราะขับมอไซอยู่ ตอนนั้นไม่อยากหันหลังไปดูเลยครับว่าอะไร หรือแม้แต่จะมองกระจกส่องหลัง สักพักมือนั้นค่อย ๆ เลื่อนลงมาจับที่เอวผมครับ พระเจ้าตอนนั้นอยากร้องให้มากเลย แต่ผมเองก็อดใจไม่ไหวเหมือนกันครับเลยมองส่องกระจกหลังดู ให้ตายเหอะ ผมเห็นไอ้คนซ้อนท้ายผมอยู่ไม่มีหัวเลยครับ แถวตัวยังดำเหมือนกับโดนไฟเผามาทั้งตัวเลยครับ ตอนนั้นตกใจมากเลยครับ พยายามคุมสติสุดชีวิตขับรถกลับบ้าน แต่เหลือระยะทางอีก 1 กิโลครับ
แต่ตอนนั้นรู้สึกเหมือนเป็นสิบกิโลเลยครับ เพราะอยากให้ถึงบ้านไว ๆ สักพักพอขับรถมาถึงทางเข้าหมู่บ้าน อาการต่าง ๆ ก็หายไปหมดเลยครับ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย แม้แต่ไอ้คนซ้อนท้ายเองก็หายไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้เหมือนกันครับ เหตุการณ์วันนั้นผมยังจำได้ดีจนถึงวันนี้เลยครับ นึกทีไรยังขนลุกทุกทีเลย บรื๋อส์.....
บ้านมอญ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างที่ฉัน กำลังเรียนอยู่มัทธยมจะเล่าให้ฟังก่อนว่าบ้านทวดของฉัน เป็นบ้านของชาวมอญในบ้านจะมีหีบที่เรียกว่าหีบผีมอญ อยู่ในห้องของทวด มีอยู๋คืนนึงในบ้าน เป็นวันที่ญาติพี่น้อง มานอนกันที่บ้านของทวด เนื่องจากนัดกันมาทำบุญเลยถือโอกาส นอนที่บ้านนั้น รวมทั้งฉัน บ้านเป็นลักษณะ 2 ชั้น ชั้นสองเป็นห้องของทวดและห้องพระ และมีห้องว่างอยู่ไว้ให้แขกนอนแต่ญาติพี่น้องมาเยอะเกินที่จะนอนในห้องพอ ยายเลยให้ลูกหลานนอนที่กลางบ้าน ชั้น2 มีน้องนอนติดกับประตูห้องทวดเรานอนกัน 6คนได้
ที่กลางบ้าน หน้าห้องทวดจะมีรูปของตระกูลรุ่นก่อนๆที่ได้เสียชีวิตไปแล้ว นะคะ ประมาณ 10 รูปได้ตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ของทวดนั่นเองระหว่างที่นอนกันนั้น ดิฉันรู้สึกร้อน อบอ้าว ทำให้นอนหลับไม่สนิทและแล้วเรื่องราวก็ทำให้ฉันเจอกับเหตุการณ์ประหลาด ช่วงที่นอนอยู่ ดิฉันรู้สึกเหมือนมีคนมากระซิบที่ข้างหูว่า ให้ตื่นได้แล้ว อยู่นาน จนดิฉันหลับไม่ลง หันซ้าย ขวา ก็เห็น พี่ๆ น้องๆ เค้า หลับกันโดย ปลุกก้อปลุกไม่ตื่นเลย ดิฉันเรื่มเหงื่อยแตก ใจก็กลัวว่าที่ได้ยินมันไม่ใช่เสียงของคน เพราะ ถึงขนาดกระซิบที่ข้างหูทำเอากลั้นน้ำตาไม่ได้ ในใจกลัวมากคะ ดิฉันพยายาม หลับตา ในช่วงที่หลับตาก็มีน้ำตกลงมาจาก ขื่อบ้าน ดิฉันนอนกลางขื่อ บ้านค่ะ ตกลงมา2-3หยด ดิฉันลืมตามองขึ้นไปดูพบว่ามีผู้ชายคนนึงนั่งอยู่บนขื่อนั้น มองฉัน
โดยมองต่ำลงมา ทำเอาดิฉันกลั้นน้ำตาไม่ได้แล้วทีนี้ ดิฉันก็ร้องลั่นบ้าน กริ๊ด สติแตก กลัวมาก จนที่บ้านตื่นกันหมด เวลาตอนนั้นเป็นเวลา ประมาณตี4 ครึ่ง เท่าที่แม่บอกนะคะ พอตื่น เค้าก็มาปลอบ พูดให้เราคิดว่าเป็นแค่ความฝันไป แต่ก็ต้อง ตกใจอีกที เพราะลุงดิฉันที่นอนอยู่ข้างล่าง ที่นอนเฝ้าข้างล่างคนเดียวแกมีอาการเป็นไข้ขึ้นสูงและชัก ที่บ้านรีบพาส่งร.พ ด่วน วันนั้นไม่มีใครนอนอีกเลยยันเช้า พอเรื่องผ่านไปสัก อาทิตย์ แม่ ก็พาไปทำบุญ และ พามาหาทวดที่บ้านทวดอีก ดิฉันนั่งเล่นกะน้อง ที่ชั้น 2 ที่เคยเจอ ดิฉันก้อได้พบว่าผู้ชายที่ดิฉันเห็นในคืนนั้น
เป็นคนในรูป ตระกูลที่แขวนไว้หน้าห้องทวด ฉันเรียกแม่ มาให้แม่ดูแม่บอกว่า คนในรูปนี้เป็นพ่อของลูง ที่ไม่สบายวันนั้น สงสัยแกมาเรียกให้ใครสักคนตื่นเพื่อไปดูลูก(ลุง)ของแก นั่นเอง เหตุการณ์ในวันนั้น ทำให้ฉันเจอ เรื่องประหลาดๆ เสมอๆ จน ถึงวันนี้ดิฉันจะโตแล้วแต่ก้อไม่สามารถลืม เหตุการณ์นี้ได้เลยค่ะ
ที่กลางบ้าน หน้าห้องทวดจะมีรูปของตระกูลรุ่นก่อนๆที่ได้เสียชีวิตไปแล้ว นะคะ ประมาณ 10 รูปได้ตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ของทวดนั่นเองระหว่างที่นอนกันนั้น ดิฉันรู้สึกร้อน อบอ้าว ทำให้นอนหลับไม่สนิทและแล้วเรื่องราวก็ทำให้ฉันเจอกับเหตุการณ์ประหลาด ช่วงที่นอนอยู่ ดิฉันรู้สึกเหมือนมีคนมากระซิบที่ข้างหูว่า ให้ตื่นได้แล้ว อยู่นาน จนดิฉันหลับไม่ลง หันซ้าย ขวา ก็เห็น พี่ๆ น้องๆ เค้า หลับกันโดย ปลุกก้อปลุกไม่ตื่นเลย ดิฉันเรื่มเหงื่อยแตก ใจก็กลัวว่าที่ได้ยินมันไม่ใช่เสียงของคน เพราะ ถึงขนาดกระซิบที่ข้างหูทำเอากลั้นน้ำตาไม่ได้ ในใจกลัวมากคะ ดิฉันพยายาม หลับตา ในช่วงที่หลับตาก็มีน้ำตกลงมาจาก ขื่อบ้าน ดิฉันนอนกลางขื่อ บ้านค่ะ ตกลงมา2-3หยด ดิฉันลืมตามองขึ้นไปดูพบว่ามีผู้ชายคนนึงนั่งอยู่บนขื่อนั้น มองฉัน
โดยมองต่ำลงมา ทำเอาดิฉันกลั้นน้ำตาไม่ได้แล้วทีนี้ ดิฉันก็ร้องลั่นบ้าน กริ๊ด สติแตก กลัวมาก จนที่บ้านตื่นกันหมด เวลาตอนนั้นเป็นเวลา ประมาณตี4 ครึ่ง เท่าที่แม่บอกนะคะ พอตื่น เค้าก็มาปลอบ พูดให้เราคิดว่าเป็นแค่ความฝันไป แต่ก็ต้อง ตกใจอีกที เพราะลุงดิฉันที่นอนอยู่ข้างล่าง ที่นอนเฝ้าข้างล่างคนเดียวแกมีอาการเป็นไข้ขึ้นสูงและชัก ที่บ้านรีบพาส่งร.พ ด่วน วันนั้นไม่มีใครนอนอีกเลยยันเช้า พอเรื่องผ่านไปสัก อาทิตย์ แม่ ก็พาไปทำบุญ และ พามาหาทวดที่บ้านทวดอีก ดิฉันนั่งเล่นกะน้อง ที่ชั้น 2 ที่เคยเจอ ดิฉันก้อได้พบว่าผู้ชายที่ดิฉันเห็นในคืนนั้น
เป็นคนในรูป ตระกูลที่แขวนไว้หน้าห้องทวด ฉันเรียกแม่ มาให้แม่ดูแม่บอกว่า คนในรูปนี้เป็นพ่อของลูง ที่ไม่สบายวันนั้น สงสัยแกมาเรียกให้ใครสักคนตื่นเพื่อไปดูลูก(ลุง)ของแก นั่นเอง เหตุการณ์ในวันนั้น ทำให้ฉันเจอ เรื่องประหลาดๆ เสมอๆ จน ถึงวันนี้ดิฉันจะโตแล้วแต่ก้อไม่สามารถลืม เหตุการณ์นี้ได้เลยค่ะ
พิสูจบ้านผีสิงพระราม9
สวัสดีชาวเดอะช๊อคเเละทีมงาน ผมไปที่พิสูจผีที่พระราม9ที่พี่ป๋องเเละทีมงานเคยไปเดินสายมา
ผมก็ได้ไปกะผี3คนไปวันเเรกของอุปกรณ์ไม่ค่อยพร้อมเท่าไรเราเเค่ขับรถเข้าไป ผมมองไปที่ทางเข้าของ มันจะเป็นต้นไม้ปกคุ้มบ้านรกมาก ผมกับพี่2คนเจอผู้หญิงเสื้อขาวผมยาวอาขาห้อยลงมาจากต้นไม้มองผมกับพี่2คนเเต่พี่คนที่ขับรถไม่เห็น ผู้หญิงคนนั้นมองมาพยายามบอกอะไรสักอย่างกับพวกเราเเต่พอรถเกิดเสียหลักเกลือบชนต้นไม้พุ่งเข้าไปในดงหญ้า เเละวันที2ผมถ่ายผมเอาไฟฉ่ายเเละอุปกรณ์ไปพร้อม
ผมเเค่เดินเข้าตรงบริเวณหน้าบ้าน ผมรู้สึกมีอะไรมาดันผมเหมือนให้ผมกับพี่ไปๆ เเต่เรา3คนก็เข้ากันไปไม่ได้ ก็เพราะว่าหน้าบ้านจะรกมากเราเลยเข้าาไปไม่สะดวก เเล้วเราก็สตาทรถกับบ้านผมพั้นเเลตรงมุมบ้าน เขาก็ชี้หน้า ตอนนั้นผมตกใจมากพูดอะไรไม่ออก ผมเลยหันหน้าไปทางอื่น เเล้วหลังจากนั้นเราไม่ได้ไปอีกเลย
ผมก็ได้ไปกะผี3คนไปวันเเรกของอุปกรณ์ไม่ค่อยพร้อมเท่าไรเราเเค่ขับรถเข้าไป ผมมองไปที่ทางเข้าของ มันจะเป็นต้นไม้ปกคุ้มบ้านรกมาก ผมกับพี่2คนเจอผู้หญิงเสื้อขาวผมยาวอาขาห้อยลงมาจากต้นไม้มองผมกับพี่2คนเเต่พี่คนที่ขับรถไม่เห็น ผู้หญิงคนนั้นมองมาพยายามบอกอะไรสักอย่างกับพวกเราเเต่พอรถเกิดเสียหลักเกลือบชนต้นไม้พุ่งเข้าไปในดงหญ้า เเละวันที2ผมถ่ายผมเอาไฟฉ่ายเเละอุปกรณ์ไปพร้อม
ผมเเค่เดินเข้าตรงบริเวณหน้าบ้าน ผมรู้สึกมีอะไรมาดันผมเหมือนให้ผมกับพี่ไปๆ เเต่เรา3คนก็เข้ากันไปไม่ได้ ก็เพราะว่าหน้าบ้านจะรกมากเราเลยเข้าาไปไม่สะดวก เเล้วเราก็สตาทรถกับบ้านผมพั้นเเลตรงมุมบ้าน เขาก็ชี้หน้า ตอนนั้นผมตกใจมากพูดอะไรไม่ออก ผมเลยหันหน้าไปทางอื่น เเล้วหลังจากนั้นเราไม่ได้ไปอีกเลย
ตามมาทวงสัญญา
เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงกับดิฉันเมื่อประมาณแปดปีก่อน โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เด็กๆไม่ควรทำตามเป็นอย่างยิ่งเรื่องมีอยู่ว่าตอนนั้นดิฉันยังเป็นเด็กนักศึกษามหาลัยเอกชนชื่อดัง ในจังหวัด สมุทรปราการ และได้มีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนหนึ่ง จนกระทั่งเกิดตั้งท้องขึ้นมา ดิฉันไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี จึงได้ให้คำตอบกับตัวเองว่า ดิฉันจึงได้ดัดสินใจ "ทำแท้ง" และหลังจากนั้นดิฉันได้ตั้งคำปฎิญาณและสัญญาไว้กับตัวเองในใจว่า "จะไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้" แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ทำบุญให้สักทีเนื่องจาก มัวแต่ไปเที่ยวเตร็ดเตร่ ตามประสาวัยรุ่นทั่วไป จนลืมไปเลยว่าเคยสัญญาอะไรไว้ หลังจากนั้นเอง ดิฉันได้ไปเที่ยวกลางคืนตามปกติกับแฟนหนุ่มและเพื่อนๆโดยขากลับ จากไปส่งเพื่อนที่หอพักมหาลัยเอกชนชื่อดังย่านบางกะปิ แถว มหาลัยรามคำแหง ระหว่างทางที่จะเข้าไปในซอยนั้น
ดิฉันเห็น เงาข้างทาง อยู่ฝั่งซ้ายมือ ทางด้านที่ดิฉันนั่งอยู่ลักษณะหัวโตๆใหญ่ๆ มีรูลักษณะเหมือนปากเล็ก(เหมือนคนทำปากจู๋)แต่ตัวไม่ใหญ่มาก ขนาดสูงประมาณคนทั่วไป (ร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรน่าจะได้) ยื่นมือมาทางถนนฝั่งที่ดิฉันนั่งพอดี จากนั้นดิฉันก็ตกใจ หันถามเพื่อนที่นั่งข้างหลังว่า เห็นอะไรไหม เพื่อนดิฉันอีกสามคนที่นั่งข้างหลังบอกว่า ไม่เห็นมีอะไรนี่ ดิฉันจึงนั่งรถต่อไปตามปกติ ใจก็คิดว่ามันต้องเป็นอะไรสักอย่าง ขณะที่แฟนกำลังจะจอดรถ ดิฉันเห็นเงา ขาวๆ อยู่ใกล้ๆกำแพงที่จอดรถติดกับรั้วมหาลัย เพื่อนจึงบอกว่า เป็นเงาของรูปปั้นที่อยู่ใน มหาลัยหรือเปล่า
ดิฉันก็ไม่เอะใจคิดว่า เราคงจะคิดมากไปเอง จึงไม่ได้คิดมากขณะขึ้นไปข้างบนหอพักของเพื่อนดิฉันก้อเล่าให้เพื่อนฟังว่าดิฉันเห็นอะไร เพื่อนก้อบอกว่าดิฉันเมา สงสัยกินมากไปหน่อยแต่ดิฉันบอกว่า ไม่มีทางไม่ได้เมานะและยังย้ำบอกแฟนให้ขับรถกลับมาทางเดิมที่เราเข้าซอยมา จกนั้นแฟนก็ได้ตอบตกลงเพื่อพิสูจน์ว่า ดิฉันจะตาฝาดเห็นต้นไม้ข้างทางเป็นอย่างอื่นหรือไม่ ขากลับเข้าซอยใจก็เต้น อยากรู้ก็อยากรู้ว่าที่เห็นมันคืออะไรจึงได้บอกแฟนให้ขับรถช้าๆ เมื่อเข้าไปถึงซอย ปรากฏว่า ไม่มีแม้แต่ต้นไม้สักต้นที่ยื่นกิ่งก้านเข้ามาทางถนน หรือแม้แต่ต้นไม้ข้างทางสักต้นก็ไม่มี มีแต่ริมฟุตบาทและขอบถนน ตามปกติ จากนั้นดิฉันเริ่มใจสั่นบอกแฟนว่าอยากกลับมานอนบ้านแฟนแล้วเราจึงขับรถกลับกันมา ซึ่งบ้านอยู่ติดถนน ศรีนครินทร์
ก่อนถึงซีคอนสแควร์ จากนั้น ดิฉันก้อเข้าห้องนอนซึ่งอยู่ชั้นสอง มีหน้าต่าง ระเบียง สามารถมองเห็นวิวริมถนนได้ จากนั้นแฟนของดิฉันได้ลุกไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาหลังจากขับรถกลับมา ดิฉันได้ยินเสียงหวิดร้อง วี๊ดๆๆๆๆๆ ก้องอยู่ในหูเป็นเสียงเล็ก แหลม มากๆ ตอนนั้นดิฉันกลัวมากรีบเปิดประตูห้อง บอกแฟนที่กำลังล้างหน้าอยู่ว่าได้ยินไหม ทีนี้แฟนบอกว่าไม่ได้ยินอะไรเลยแต่ดิฉันยังคงได้ยินอยู่ในหัวดังมาก ซึ่งดิฉันไม่เคยได้ยินเสียงแบบนี้มาก่อนแล้วจึงได้รู้สึกว่าเสียงที่คนเค้าบอกว่าเสียงหวีดร้องของเปรตมันเป็นยังไง ที่นี้ดิฉันก้อบอกแฟนว่าอยู่ไม่ได้แล้วอยากกลับไปนอนบ้านที่อยู่บางนาแต่ดิฉันไม่มีกุญแจบ้านจึงบอกแฟนให้ขับรถไปหาพี่ชายที่บ้านเพื่อนพี่ชายที่อยู่แถว อุดมสุข เปิดเป็นร้านอินเตอร์เน็ต ที่นี้พอขับไปถึงดิฉันเห็นพี่ชายนั่งอยู่บนรถเพื่อนดิฉันก้อกวักมือเรียกพี่ชาย เนื่องจากเห็นว่า เพื่อนพี่ชายนั่งอยู่เบาะหลังของรถใส่เสื้อสีขาวดิฉันจึงเห็นชัดว่ามีคนนั่งอยู่แน่ๆ
เลยไม่อยากจะพูดให้เค้ากลัวจึงได้แต่กวักมือเรียกบอกให้พี่ชายออกมาจากรถ จากนั้นพี่ชายก็ งง งง ว่ากวักมือเรียกทำไมมีไรก็พูดมาเฮียอยู่คนเดียว เราก็บอกว่า"เฮ๊ย แล้วที่นั่งหลังเฮียอ่ะใคร เฮียเลยบอกว่าไม่มี เฮียนั่งเล่นในรถคนเดียว " ดิฉันจึงเดินเข้าไปใกล้ๆรถ เห็นว่ามีพี่ชายคนเดียวจริงๆด้วยแล้วที่ดิฉันเห็นใส่เสื้อขาวอ่ะใคร อีกอย่างรถเป็นรถสองประตู ไม่มีทางที่จะออกไปทางประตูหลังแน่ ดิฉันตกใจมาก หลังจากที่เช็คแล้วก็คุยกับพี่ชายและเพื่อนพี่ชายว่าคืนนี้ได้เห็นทั้งคืนเลย จึงคิดในใจว่าอาจจะเป็นเรื่องที่เราไปทำไม่ดีเอาไว้หรือเปล่าจึงกลับบ้านพร้อมพี่ชาย เมื่อกลับเข้ามาบ้านแล้วดิฉันรู้สึกอุ่นใจ ยังไงก็ไม่รู้บอกไม่ถูก รู้สึกว่าปลอดภัยอย่างประหลาด จากนั้นวันรุ่งขึ้นดิฉัน ได้ตื่นมาใสบาตรตอนเช้า เล่าให้พระฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้น พระท่านบอกว่า การที่จะเห็นเปรตได้ เปรตนั้นต้องเป็นญาติพี่น้องเรา หรือเจ้ากรรมนายเวรของเรา หรือคนที่เคยผูกผันกับเรา เท่านั้น จึงจะสามารถเห็นได้
ดิฉันจึงคิดได้ว่าต้องเป็นเพราะสิ่งที่ดิฉันได้ทำไปตอนนั้นแน่ๆ ดิฉันจึงได้บุญ กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เค้า ขอให้เค้าไปอย่างสงบใจก็นึกอยู่อย่างเดียวว่าดิฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้แต่เพราะว่าตอนนี้ยังไม่พร้อมจึงต้องจำใจทำลงไป และหลังจากนั้นดิฉันก็ไม่เคยเจอ อะไรแบบนี้อีกเลยคุณ Mauy1981
เด็กๆไม่ควรทำตามเป็นอย่างยิ่งเรื่องมีอยู่ว่าตอนนั้นดิฉันยังเป็นเด็กนักศึกษามหาลัยเอกชนชื่อดัง ในจังหวัด สมุทรปราการ และได้มีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนหนึ่ง จนกระทั่งเกิดตั้งท้องขึ้นมา ดิฉันไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี จึงได้ให้คำตอบกับตัวเองว่า ดิฉันจึงได้ดัดสินใจ "ทำแท้ง" และหลังจากนั้นดิฉันได้ตั้งคำปฎิญาณและสัญญาไว้กับตัวเองในใจว่า "จะไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้" แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ทำบุญให้สักทีเนื่องจาก มัวแต่ไปเที่ยวเตร็ดเตร่ ตามประสาวัยรุ่นทั่วไป จนลืมไปเลยว่าเคยสัญญาอะไรไว้ หลังจากนั้นเอง ดิฉันได้ไปเที่ยวกลางคืนตามปกติกับแฟนหนุ่มและเพื่อนๆโดยขากลับ จากไปส่งเพื่อนที่หอพักมหาลัยเอกชนชื่อดังย่านบางกะปิ แถว มหาลัยรามคำแหง ระหว่างทางที่จะเข้าไปในซอยนั้น
ดิฉันเห็น เงาข้างทาง อยู่ฝั่งซ้ายมือ ทางด้านที่ดิฉันนั่งอยู่ลักษณะหัวโตๆใหญ่ๆ มีรูลักษณะเหมือนปากเล็ก(เหมือนคนทำปากจู๋)แต่ตัวไม่ใหญ่มาก ขนาดสูงประมาณคนทั่วไป (ร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรน่าจะได้) ยื่นมือมาทางถนนฝั่งที่ดิฉันนั่งพอดี จากนั้นดิฉันก็ตกใจ หันถามเพื่อนที่นั่งข้างหลังว่า เห็นอะไรไหม เพื่อนดิฉันอีกสามคนที่นั่งข้างหลังบอกว่า ไม่เห็นมีอะไรนี่ ดิฉันจึงนั่งรถต่อไปตามปกติ ใจก็คิดว่ามันต้องเป็นอะไรสักอย่าง ขณะที่แฟนกำลังจะจอดรถ ดิฉันเห็นเงา ขาวๆ อยู่ใกล้ๆกำแพงที่จอดรถติดกับรั้วมหาลัย เพื่อนจึงบอกว่า เป็นเงาของรูปปั้นที่อยู่ใน มหาลัยหรือเปล่า
ดิฉันก็ไม่เอะใจคิดว่า เราคงจะคิดมากไปเอง จึงไม่ได้คิดมากขณะขึ้นไปข้างบนหอพักของเพื่อนดิฉันก้อเล่าให้เพื่อนฟังว่าดิฉันเห็นอะไร เพื่อนก้อบอกว่าดิฉันเมา สงสัยกินมากไปหน่อยแต่ดิฉันบอกว่า ไม่มีทางไม่ได้เมานะและยังย้ำบอกแฟนให้ขับรถกลับมาทางเดิมที่เราเข้าซอยมา จกนั้นแฟนก็ได้ตอบตกลงเพื่อพิสูจน์ว่า ดิฉันจะตาฝาดเห็นต้นไม้ข้างทางเป็นอย่างอื่นหรือไม่ ขากลับเข้าซอยใจก็เต้น อยากรู้ก็อยากรู้ว่าที่เห็นมันคืออะไรจึงได้บอกแฟนให้ขับรถช้าๆ เมื่อเข้าไปถึงซอย ปรากฏว่า ไม่มีแม้แต่ต้นไม้สักต้นที่ยื่นกิ่งก้านเข้ามาทางถนน หรือแม้แต่ต้นไม้ข้างทางสักต้นก็ไม่มี มีแต่ริมฟุตบาทและขอบถนน ตามปกติ จากนั้นดิฉันเริ่มใจสั่นบอกแฟนว่าอยากกลับมานอนบ้านแฟนแล้วเราจึงขับรถกลับกันมา ซึ่งบ้านอยู่ติดถนน ศรีนครินทร์
ก่อนถึงซีคอนสแควร์ จากนั้น ดิฉันก้อเข้าห้องนอนซึ่งอยู่ชั้นสอง มีหน้าต่าง ระเบียง สามารถมองเห็นวิวริมถนนได้ จากนั้นแฟนของดิฉันได้ลุกไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาหลังจากขับรถกลับมา ดิฉันได้ยินเสียงหวิดร้อง วี๊ดๆๆๆๆๆ ก้องอยู่ในหูเป็นเสียงเล็ก แหลม มากๆ ตอนนั้นดิฉันกลัวมากรีบเปิดประตูห้อง บอกแฟนที่กำลังล้างหน้าอยู่ว่าได้ยินไหม ทีนี้แฟนบอกว่าไม่ได้ยินอะไรเลยแต่ดิฉันยังคงได้ยินอยู่ในหัวดังมาก ซึ่งดิฉันไม่เคยได้ยินเสียงแบบนี้มาก่อนแล้วจึงได้รู้สึกว่าเสียงที่คนเค้าบอกว่าเสียงหวีดร้องของเปรตมันเป็นยังไง ที่นี้ดิฉันก้อบอกแฟนว่าอยู่ไม่ได้แล้วอยากกลับไปนอนบ้านที่อยู่บางนาแต่ดิฉันไม่มีกุญแจบ้านจึงบอกแฟนให้ขับรถไปหาพี่ชายที่บ้านเพื่อนพี่ชายที่อยู่แถว อุดมสุข เปิดเป็นร้านอินเตอร์เน็ต ที่นี้พอขับไปถึงดิฉันเห็นพี่ชายนั่งอยู่บนรถเพื่อนดิฉันก้อกวักมือเรียกพี่ชาย เนื่องจากเห็นว่า เพื่อนพี่ชายนั่งอยู่เบาะหลังของรถใส่เสื้อสีขาวดิฉันจึงเห็นชัดว่ามีคนนั่งอยู่แน่ๆ
เลยไม่อยากจะพูดให้เค้ากลัวจึงได้แต่กวักมือเรียกบอกให้พี่ชายออกมาจากรถ จากนั้นพี่ชายก็ งง งง ว่ากวักมือเรียกทำไมมีไรก็พูดมาเฮียอยู่คนเดียว เราก็บอกว่า"เฮ๊ย แล้วที่นั่งหลังเฮียอ่ะใคร เฮียเลยบอกว่าไม่มี เฮียนั่งเล่นในรถคนเดียว " ดิฉันจึงเดินเข้าไปใกล้ๆรถ เห็นว่ามีพี่ชายคนเดียวจริงๆด้วยแล้วที่ดิฉันเห็นใส่เสื้อขาวอ่ะใคร อีกอย่างรถเป็นรถสองประตู ไม่มีทางที่จะออกไปทางประตูหลังแน่ ดิฉันตกใจมาก หลังจากที่เช็คแล้วก็คุยกับพี่ชายและเพื่อนพี่ชายว่าคืนนี้ได้เห็นทั้งคืนเลย จึงคิดในใจว่าอาจจะเป็นเรื่องที่เราไปทำไม่ดีเอาไว้หรือเปล่าจึงกลับบ้านพร้อมพี่ชาย เมื่อกลับเข้ามาบ้านแล้วดิฉันรู้สึกอุ่นใจ ยังไงก็ไม่รู้บอกไม่ถูก รู้สึกว่าปลอดภัยอย่างประหลาด จากนั้นวันรุ่งขึ้นดิฉัน ได้ตื่นมาใสบาตรตอนเช้า เล่าให้พระฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้น พระท่านบอกว่า การที่จะเห็นเปรตได้ เปรตนั้นต้องเป็นญาติพี่น้องเรา หรือเจ้ากรรมนายเวรของเรา หรือคนที่เคยผูกผันกับเรา เท่านั้น จึงจะสามารถเห็นได้
ดิฉันจึงคิดได้ว่าต้องเป็นเพราะสิ่งที่ดิฉันได้ทำไปตอนนั้นแน่ๆ ดิฉันจึงได้บุญ กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เค้า ขอให้เค้าไปอย่างสงบใจก็นึกอยู่อย่างเดียวว่าดิฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้แต่เพราะว่าตอนนี้ยังไม่พร้อมจึงต้องจำใจทำลงไป และหลังจากนั้นดิฉันก็ไม่เคยเจอ อะไรแบบนี้อีกเลยคุณ Mauy1981
เรื่องที่ผมไปพิสูจน์ที่คลินิก
เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาผมกับเพื่อนๆอีก 7 คนได้ไปทำการพิสูจน์ที่คลินิกแห่งนึงตอนแรกที่ผมไปเห็นมันดูน่ากลัวมากผมแล้วเพื่อนๆก็ได้จุดธูปขออนุญาติก่อนที่จะเข้าไปในคลินิกแห่งนี้หลังจากนั้นผมแระเพื่อนๆทั้ง 5 คน(อีก 2 คนไม่กล้าเข้า )
ก็ได้เข้าไปในสำรวจกัน พอเข้าไปทีแรกก็ไม่มีอะไรแต่พอขึ้นไปชั้น 2 ผมก็รู้สึกเหมือนมีคนมองผมก็รู้สึกกลัวมากผมก็เลยให้เพื่อนๆลงไปชั้นแรกแล้วเดินออกมาก่อนพอหลังจากนั้นมีเพื่อนผมคนนึงชื่อ เอก(นามสมมุติ) เค้าก็ไม่เข้าไปอีกทีนี้ก็เหลือ 4 คน (ผมขอท้าวความก่อนว่าข้าวหน้าคลินิกนี้มีร้านขายอาหารตามสั่งอยู่) แล้วทีนี้พี่คนที่ขายข้าวอยู่ร้านอาหารตามสั่งก็พาผมขึ้นไปในระหว่างที่อยู่ชั้น 3เพื่อน( ญ )
ผมคนนึงได้สะกิดผมแล้วผมก็ถามเค้าว่าไหวมั๊ยเค้าบอกว่าไหวแล้วเราก็เดินไปกันต่อจนถึงครบ 5 ชั้นแล้วผมกะเพื่อนๆก็ได้ออกมาข้างนอกกันผมได้มาถามเพื่อน( ญ )ว่าเห็นอะไรเค้าก็บอกว่าตอนที่อยู่ชั้น 3 อ่ะเหมือนมีอะไรดลใจให้เค้าหันหลังกลับไปมองตรงบันไดแล้วเค้าก็เห็นเงาคนอยู่ตรงบันไดแล้วหลังจากนั้นพวกผมก็นั่งเล่นกันข้างหน้าคลินิกแห่งนั้นแล้วพวกผมก็กลับมาถึงบ้านพอถึงรุ่งเช้าผมถามเพื่อนที่ชื่อ เอก (นามสมมุติ)
ว่าเมื่อวานเจออะไรเพื่อนผมก็ตอบว่าตอนที่เข้าไปอ่ะเค้าเห็นผู้หญิงอยู่ตรงที่ชั้น 2แล้วอีกครั้งนึงอ่ะเค้ากำลังคุยโทรสับอยุ่แล้วเค้าก็เห็นเงาคนอ่ะวิ่งอยุ่บนชั้น 3เรื่องของผมมีเท่านี้แหละครับอาจจะไม่สนุกแต่โปรดใช้วิจารณญานในกานดูด้วยนะครับ....ขอบคุณครับ
ก็ได้เข้าไปในสำรวจกัน พอเข้าไปทีแรกก็ไม่มีอะไรแต่พอขึ้นไปชั้น 2 ผมก็รู้สึกเหมือนมีคนมองผมก็รู้สึกกลัวมากผมก็เลยให้เพื่อนๆลงไปชั้นแรกแล้วเดินออกมาก่อนพอหลังจากนั้นมีเพื่อนผมคนนึงชื่อ เอก(นามสมมุติ) เค้าก็ไม่เข้าไปอีกทีนี้ก็เหลือ 4 คน (ผมขอท้าวความก่อนว่าข้าวหน้าคลินิกนี้มีร้านขายอาหารตามสั่งอยู่) แล้วทีนี้พี่คนที่ขายข้าวอยู่ร้านอาหารตามสั่งก็พาผมขึ้นไปในระหว่างที่อยู่ชั้น 3เพื่อน( ญ )
ผมคนนึงได้สะกิดผมแล้วผมก็ถามเค้าว่าไหวมั๊ยเค้าบอกว่าไหวแล้วเราก็เดินไปกันต่อจนถึงครบ 5 ชั้นแล้วผมกะเพื่อนๆก็ได้ออกมาข้างนอกกันผมได้มาถามเพื่อน( ญ )ว่าเห็นอะไรเค้าก็บอกว่าตอนที่อยู่ชั้น 3 อ่ะเหมือนมีอะไรดลใจให้เค้าหันหลังกลับไปมองตรงบันไดแล้วเค้าก็เห็นเงาคนอยู่ตรงบันไดแล้วหลังจากนั้นพวกผมก็นั่งเล่นกันข้างหน้าคลินิกแห่งนั้นแล้วพวกผมก็กลับมาถึงบ้านพอถึงรุ่งเช้าผมถามเพื่อนที่ชื่อ เอก (นามสมมุติ)
ว่าเมื่อวานเจออะไรเพื่อนผมก็ตอบว่าตอนที่เข้าไปอ่ะเค้าเห็นผู้หญิงอยู่ตรงที่ชั้น 2แล้วอีกครั้งนึงอ่ะเค้ากำลังคุยโทรสับอยุ่แล้วเค้าก็เห็นเงาคนอ่ะวิ่งอยุ่บนชั้น 3เรื่องของผมมีเท่านี้แหละครับอาจจะไม่สนุกแต่โปรดใช้วิจารณญานในกานดูด้วยนะครับ....ขอบคุณครับ
นิ้วใคร?
เรื่องมีอยุ่ว่า ผมพึ่งย้ายมาอยุ่กับป้าพร้อมกับย้ายมาเรียนด้วย
อยุ่มาไก้ไม่นานอาจารย์ก้อสั่งการบ้านให้ประดิษฐ์สิ่งของจากสิ่งที่ทิ้งแล้ว ผมกับเพื่อนอีกคนเลยไปหาเก็บพวกกล่องผงซักฟอกมาทำเป็นที่ใส่สมุด ด้วยความที่ผมเปงเด็กใหม่เลยไปเหยียบกับสิ่งหนึ่งเข้า(มันเปนกาบของต้นกล้วยนำมาพับเป็นสามเหลี่ยมแล้วในนั้นก้อจะมีข้าวต้มมัด หมาก พลูและอารายอีกหลายอย่างผมก้อจำไม่ค่อยได้)ผมก้อถามเพื่อนว่ามันคืออะไร มันบอกว่าเปงเหมือนกันของเซนให้กับคนที่ตายไปแล้ว
เหมือนเค้าหิวจะได้มากินกัน และมันบอกว่ามันเคยเหยียบมาแล้ว ตกดึกมามันเห็นผู้หญิงใส่ชุดขาวมายืนที่ปลายเตียงมัน เมื่อผมฟังมันพูกความกลัวก็เกิดขึ้นกับผม ทั้ง ๆที่ผมเหยียบแค่นิดเดียวเอง ตกดึกมาผมก้ออาบน้ำ กินข้าวนอนตามปกติ โดยลืมเรื่องนั้นไป ประมาณเที่ยงคืนผมรุสึกตัว(ผมนอนกะพี่สาว โดยผมนอนติดหน้าต่าง) ผมพลิกตัวหันหน้าไปทางหน้าต่าง และตาผมก้อไปสะดุดกับรูที่อยุ่ใกล้หน้าต่างเห็นเป็นนิ้วก้อย เล็บนี้ยาวมาก
กำลังจะแหย่านิ้วเข้ามาแทงตาผม ร่างเค้าใสชุดสีดำ ผมยาว และที่ทำให้ผมกลัวมากก๊คือห้องที่ผมนอนอยุ่ชั้น 2 และคัยมันจะมายืนแหย่นิ้วได้ เท่านั้นแหละครับ ผมร้องตะโกนลั่นบ้านเลย จนทุกคนไม่ได้นอนกัน ต้องมานั่งเฝ้าผมตลอดคืนเลยครับเพื่อนว่าเปงงัยครับ ม่ายเจอเองม่ายรุหรอก
อยุ่มาไก้ไม่นานอาจารย์ก้อสั่งการบ้านให้ประดิษฐ์สิ่งของจากสิ่งที่ทิ้งแล้ว ผมกับเพื่อนอีกคนเลยไปหาเก็บพวกกล่องผงซักฟอกมาทำเป็นที่ใส่สมุด ด้วยความที่ผมเปงเด็กใหม่เลยไปเหยียบกับสิ่งหนึ่งเข้า(มันเปนกาบของต้นกล้วยนำมาพับเป็นสามเหลี่ยมแล้วในนั้นก้อจะมีข้าวต้มมัด หมาก พลูและอารายอีกหลายอย่างผมก้อจำไม่ค่อยได้)ผมก้อถามเพื่อนว่ามันคืออะไร มันบอกว่าเปงเหมือนกันของเซนให้กับคนที่ตายไปแล้ว
เหมือนเค้าหิวจะได้มากินกัน และมันบอกว่ามันเคยเหยียบมาแล้ว ตกดึกมามันเห็นผู้หญิงใส่ชุดขาวมายืนที่ปลายเตียงมัน เมื่อผมฟังมันพูกความกลัวก็เกิดขึ้นกับผม ทั้ง ๆที่ผมเหยียบแค่นิดเดียวเอง ตกดึกมาผมก้ออาบน้ำ กินข้าวนอนตามปกติ โดยลืมเรื่องนั้นไป ประมาณเที่ยงคืนผมรุสึกตัว(ผมนอนกะพี่สาว โดยผมนอนติดหน้าต่าง) ผมพลิกตัวหันหน้าไปทางหน้าต่าง และตาผมก้อไปสะดุดกับรูที่อยุ่ใกล้หน้าต่างเห็นเป็นนิ้วก้อย เล็บนี้ยาวมาก
กำลังจะแหย่านิ้วเข้ามาแทงตาผม ร่างเค้าใสชุดสีดำ ผมยาว และที่ทำให้ผมกลัวมากก๊คือห้องที่ผมนอนอยุ่ชั้น 2 และคัยมันจะมายืนแหย่นิ้วได้ เท่านั้นแหละครับ ผมร้องตะโกนลั่นบ้านเลย จนทุกคนไม่ได้นอนกัน ต้องมานั่งเฝ้าผมตลอดคืนเลยครับเพื่อนว่าเปงงัยครับ ม่ายเจอเองม่ายรุหรอก
ถนนสยอง (คิดภาพก็น่ากลัวแล้ว)
สวัสดีพี่ๆน้องๆ ชาว The shock ทุกคนนะครับ
ผมอ่านเรื่องของคนอื่นมามาก วันนี้จะขอเล่าเรื่องของตัวเองมั่งครับเรื่องมีอยู่ว่า พี่ข้างบ้านผมเค้าชื่อว่า เต้ย ครับ เป็นคนที่เรียนเก่งมากๆครอบครัวเขาค่อนข้างมีฐานะพอเรียนปริญญาตรีจบ เขาก็ไปเรียนต่อที่ อเมริกา เป็นเวลา 2 ปี หลังจากกลับมา พอเพื่อนเค้ารู้ข่าวก็เลยโทรชวนให้ออกไปดื่มเหล้าด้วยกันพี่เค้าก็ออกจากบ้านเวลาประมาน 2 ทุ่มกว่าครับ ทางเข้าบ้านเพื่อนพี่ค้อนข้างเปลี่ยว
ไม่มีบ้านคนและเป็นทางลูกรัง สองข้างทางจะเป็นทุ่งนานะคับ เป็นถนนที่ตรงและยาวมากประมาณ 10 กิโลได้ ที่หน้าแปลกก็คือ ทั้งๆที่ถนนสายนี้ไม่มีทางโค้งหรือสามแยก สี่แยก แต่กลับมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และส่วนผุ้ที่ประสบอุบัติเหตุจะเสียชีวิตแบบเดียวกันคือ รถล้ม คอหัก หมุนได้รอบ เกือบทุกราย หลังจากที่พี่ เต้ย ดื่มเหล้าเสร็จก็อยู่ในอาการเมาได้ที่เลย จะขอตัวกลับบ้านก่อน ล่ำลากันเสร็จแล้ว
เวลาประมาณ ตี2เค้าก็ขี่รถมอเตอร์ไซคันโปรด กลับมาทางเดิมระหว่างทางที่ขี่มานั้นพี่เค้าสังเกตเห็นว่ามีคนกำลังเดินมาจากทุ่งนาและกำลังจะขึ้นมาบนถนนทำท่าเหมือนจะโบกให้พี่เค้าจอด พี่เค้าก็จอดครับ ปรากฎว่ามีผู้ชายคนหนึ่งเดินขึ้นมาจากข้างทางเนื้อตัวเลอะเทอะไปด้วยโคลนตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า แล้วลุงคนนั้นก็ถามพี่ว่า "ไอ้หนูเอ็งมีไฟแช็กรึป่าววะ ขอข้าจุดบุหรี่หน่อย" พี่ผมเค้าเห็นท่าไม่ค่อยดีเพราะเนื้อตัวมีแต่โคลนแต่จะดูดบุหรี่บุหรี่
เค้าเลยบิดรถหนีแต่สิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อ ลุงคนนั้นเค้าวิ่งตามครับพี่ผมก็บิดหนีใหญ่เลย พี่ผมมองกระจกหลัง เห็นว่าลุงคนนั้นเค้าวิ่งมาใกล้ตัวรถแล้วกระโดดจะคว้าตัว พี่เค้าเลยเบิ้ลเครื่องหนี ลุงคนนั้นพอจับไม่ได้เค้าก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งตามต่อและก็กระโดดคว้าอีกแต่พี่เค้าก็หนีได้อีกพออกมาถึงสามแยกพี่เค้าก็ขอนอนบ้านญาติที่มีบ้านอยู่แถวนั้นไม่กล้ากลับไปนอนบ้านแล้ว พอรุ่งเช้าพี่เค้าก็ขอตัวกลับบ้าน เดินออกมาที่รถที่จอดอยู่บนลานปูนหน้าบ้านก็พบว่ามีรอยเท้าเปื้อนโคลนเดินย่ำอยู่เต็มลานบ้านเลยครับ หลังจากลับไปที่บ้านแล้ว เค้าก็ถามแม่ แม่ก็บอกว่า เคยมีลุงคนนึง
เค้าเมาเหล้าแล้วไปเก็บเบ็ดที่ปักเอาไว้เกิดอยากสูบบุหรี่ขึ้นมา กำลังจะจุดไฟแช็กแต่ไฟแช็กตกน้ำเลยก้มลงไปมองแต่ตัวเองเมาแล้วหน้ามืดหัวทิ่มลงไปในนั้นแล้วจมน้ำตาย พี่เค้าก้เลยคิดเล่นๆว่าคนที่ขี่มอเตอร์ไซแล้วล้มคอหักตายนี่น่าจะมาจากการที่โดนลุงคนนั้นวิ่งตามแล้วกระโดดคว้าแบบที่เค้าเจอเมื่อคืนเป็นแน่ หลังจ่กวันนั้นผ่านไปประมาน 3 อาทิตย์ มีคนขับรถมอเตอร์ไซล้มคอหักตายพี่เค้าเลยไปดูกับชาวบ้านเค้าด้วย
พี่สังเกตเห็นว่า ที่บริเวณรอบแถของรถที่ล้มมีรอยเท้าเปื้อนโคลนเหมือนคนวิ่งตามรถ เป็นระยะทางไกลพอสมควร เค้าก็เลยรู้สาเหตุว่าทำไม คนคนนี้ถึงได้รถล้มแต่ก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง หลังจากวันนั้นพี่เค้าก็กลับอเมริกา ผมก็ไม่ได้เจอเค้าอีกนานๆถึงจะกลับมาซะที ยังมีเรื่องเล่าอีกมากมายไว้วันหลังจะมาเล่าให้ฟังกันใหม่นะคับ
ผมอ่านเรื่องของคนอื่นมามาก วันนี้จะขอเล่าเรื่องของตัวเองมั่งครับเรื่องมีอยู่ว่า พี่ข้างบ้านผมเค้าชื่อว่า เต้ย ครับ เป็นคนที่เรียนเก่งมากๆครอบครัวเขาค่อนข้างมีฐานะพอเรียนปริญญาตรีจบ เขาก็ไปเรียนต่อที่ อเมริกา เป็นเวลา 2 ปี หลังจากกลับมา พอเพื่อนเค้ารู้ข่าวก็เลยโทรชวนให้ออกไปดื่มเหล้าด้วยกันพี่เค้าก็ออกจากบ้านเวลาประมาน 2 ทุ่มกว่าครับ ทางเข้าบ้านเพื่อนพี่ค้อนข้างเปลี่ยว
ไม่มีบ้านคนและเป็นทางลูกรัง สองข้างทางจะเป็นทุ่งนานะคับ เป็นถนนที่ตรงและยาวมากประมาณ 10 กิโลได้ ที่หน้าแปลกก็คือ ทั้งๆที่ถนนสายนี้ไม่มีทางโค้งหรือสามแยก สี่แยก แต่กลับมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และส่วนผุ้ที่ประสบอุบัติเหตุจะเสียชีวิตแบบเดียวกันคือ รถล้ม คอหัก หมุนได้รอบ เกือบทุกราย หลังจากที่พี่ เต้ย ดื่มเหล้าเสร็จก็อยู่ในอาการเมาได้ที่เลย จะขอตัวกลับบ้านก่อน ล่ำลากันเสร็จแล้ว
เวลาประมาณ ตี2เค้าก็ขี่รถมอเตอร์ไซคันโปรด กลับมาทางเดิมระหว่างทางที่ขี่มานั้นพี่เค้าสังเกตเห็นว่ามีคนกำลังเดินมาจากทุ่งนาและกำลังจะขึ้นมาบนถนนทำท่าเหมือนจะโบกให้พี่เค้าจอด พี่เค้าก็จอดครับ ปรากฎว่ามีผู้ชายคนหนึ่งเดินขึ้นมาจากข้างทางเนื้อตัวเลอะเทอะไปด้วยโคลนตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า แล้วลุงคนนั้นก็ถามพี่ว่า "ไอ้หนูเอ็งมีไฟแช็กรึป่าววะ ขอข้าจุดบุหรี่หน่อย" พี่ผมเค้าเห็นท่าไม่ค่อยดีเพราะเนื้อตัวมีแต่โคลนแต่จะดูดบุหรี่บุหรี่
เค้าเลยบิดรถหนีแต่สิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อ ลุงคนนั้นเค้าวิ่งตามครับพี่ผมก็บิดหนีใหญ่เลย พี่ผมมองกระจกหลัง เห็นว่าลุงคนนั้นเค้าวิ่งมาใกล้ตัวรถแล้วกระโดดจะคว้าตัว พี่เค้าเลยเบิ้ลเครื่องหนี ลุงคนนั้นพอจับไม่ได้เค้าก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งตามต่อและก็กระโดดคว้าอีกแต่พี่เค้าก็หนีได้อีกพออกมาถึงสามแยกพี่เค้าก็ขอนอนบ้านญาติที่มีบ้านอยู่แถวนั้นไม่กล้ากลับไปนอนบ้านแล้ว พอรุ่งเช้าพี่เค้าก็ขอตัวกลับบ้าน เดินออกมาที่รถที่จอดอยู่บนลานปูนหน้าบ้านก็พบว่ามีรอยเท้าเปื้อนโคลนเดินย่ำอยู่เต็มลานบ้านเลยครับ หลังจากลับไปที่บ้านแล้ว เค้าก็ถามแม่ แม่ก็บอกว่า เคยมีลุงคนนึง
เค้าเมาเหล้าแล้วไปเก็บเบ็ดที่ปักเอาไว้เกิดอยากสูบบุหรี่ขึ้นมา กำลังจะจุดไฟแช็กแต่ไฟแช็กตกน้ำเลยก้มลงไปมองแต่ตัวเองเมาแล้วหน้ามืดหัวทิ่มลงไปในนั้นแล้วจมน้ำตาย พี่เค้าก้เลยคิดเล่นๆว่าคนที่ขี่มอเตอร์ไซแล้วล้มคอหักตายนี่น่าจะมาจากการที่โดนลุงคนนั้นวิ่งตามแล้วกระโดดคว้าแบบที่เค้าเจอเมื่อคืนเป็นแน่ หลังจ่กวันนั้นผ่านไปประมาน 3 อาทิตย์ มีคนขับรถมอเตอร์ไซล้มคอหักตายพี่เค้าเลยไปดูกับชาวบ้านเค้าด้วย
พี่สังเกตเห็นว่า ที่บริเวณรอบแถของรถที่ล้มมีรอยเท้าเปื้อนโคลนเหมือนคนวิ่งตามรถ เป็นระยะทางไกลพอสมควร เค้าก็เลยรู้สาเหตุว่าทำไม คนคนนี้ถึงได้รถล้มแต่ก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง หลังจากวันนั้นพี่เค้าก็กลับอเมริกา ผมก็ไม่ได้เจอเค้าอีกนานๆถึงจะกลับมาซะที ยังมีเรื่องเล่าอีกมากมายไว้วันหลังจะมาเล่าให้ฟังกันใหม่นะคับ
วิญญาณข้างถนน
วิญญาณข้างถนน เรื่องนี้ส่งมาจาก : theboll0318
จำนวนคนเข้าชม : (730)
วันที่โพส : 2008-09-30 15:20:36
อันนี้เป็นเรื่องเล่าของปู่ผมเวลลาผมนอนไม่หลับปู่ผมก็จะแอบมาเป่าข้างหูของผม
แต่ผมกลับไปถามพ่อกลับแม่ ซึ่งมันเป็นเรื่องจริงๆเพราะปู่ผมไปเจอ ตอนนั้นแม่เล่าให้ฟัง พ่อผมและแม่กับปู่ไปเที่ยวที่ทะเลแห่งหนึ่งตอนนั้นผมยังแบเบาะขาไปก็สนุกพอขากลับทุกคนก็เหนื่อย พ่อเล่นน้ำมากเลยขับรถมะค่อยไหวจึงจอดข้างทาง แล้วฝั่งตรงข้างจะมีศาลอยู่ที่หนึ่งพ่อผมบอกกับปู่และแม่ว่าจะได้ให้ศาลดูแลรถเผื่อโดนจี้ สักพักพ่อและก็หลับไปแต่ปู่ของผมเป็นคนนอนดึกจึงยังไม่หลับ
ขณะนั้นก็มีคนร้องโอดโอยเหมือนจะเป็นจะตายอยู่ตรงถนนปู่ผมจึงลงไปดูแต่กลับไมเห็นอาไร พอสักพักก็มีอีกแต่เสียงเริ่มดังขึ้นเหมือนกับปู่ได้ยินคนเดียว ปลุกพ่อก็ไม่ตื่น ปู่ลงไปดูอีกครั้ง กลับเห็นผู้ชายนอนกลางถนนจะคลานไปข้างทางก็คลานไม่ได้ร้องโอดโอย แล้วผู้ชายคนนั้นก็ชี้มาหาแล้วขอความช่วยเหลือปู่กำลังไปช่วยแต่ขณะนั้นได้มีรถสิบล้อวิ่งมาทับขาดไปครึ่งตัวปู่ผมแทบช็อค โดนสิบล้อทับแต่ยังดิ้นอยู่แล้วร้องครวญคราญมาก
ปู่ผมจึงวิ่งขึ้นไปในรถแล้วทำเป็นหลับ ปู่ก็หลับเลยไม่ได้เล่าให้พ่อกับแม่ฟัง พอมาตี4 พ่อผมติ่นกำลังจะขับรถกลับบ้านแต่รถเหมือนติดอาไรอยู่จึงให้ปู่ลงไปดู เพราะแม่อุ้มผมอยู่เลยลงไปไม่ได้ ปู่จึงลงไปดูภาพที่ปู่เห็นคือ ผู้ชายคนเดิมนั้นขาดครึ่งตัวครั้นล้อรถไว้ทั้งสองข้างปู่ผมจึงตะโกนผีผีผีพ่อผมจึงลงมาดูแต่ที่ติดคือไม้ พ่อผมจึงว่าปู่ปู่ก็เถียงว่าเห็นจริงๆๆ พ่อผมก็ไม่เชื่อ ก่อนที่พ่อผมจะพูดคำว่าไหนออกมาสิ
ก็ได้เห็นคนคนเดิมนอนครานแต่ไปไม่ได้คนเดิมแล้วขอร้องให้ช่วย แต่คราวนี้ปู่ไม่เห็น พ่อจึงเข้าไปช่วยแต่ภาพที่ดห็นคือรถคันเดิมวิ่งมาทับขาดครึ่งตัว พอพ่อผมเห็นก็ขึ้นรถแล้วขับรถไปเลยพอประมาณ6โมงเช้าก็ได้ไปจอดกินข้าวร้าหนึ่งแล้วถามเขาว่าตรงทางแห่งหนึ่งเคยมีคนตายไหม คนคนนั้นก็เล่าให้ฟังว่าเคยมีนักขับรถคนหนึ่ง ง่วงแล้วขับรถไปชนต้นไม้ตัวเลยกระเด็นออกมากลางถนนเขาจึงจะคลานไปข้างถนนแต่แขนขาเขาหักหมดแล้วจึงไปไม่ได้จึงถูกรถสิบล้อทับเอา เวลามีคนขับรถผ่านมาแถวนี้ก็จะเห็นได้เกือบทุกคน
เขาบอกคนนี้เขาตายแบบวนเวียนไปมาอยู่ในศาลแห่งนั้น เรื่องมีเท่าและครับขอบคุณที่เสียเวลามาอ่านะครับผม
จำนวนคนเข้าชม : (730)
วันที่โพส : 2008-09-30 15:20:36
อันนี้เป็นเรื่องเล่าของปู่ผมเวลลาผมนอนไม่หลับปู่ผมก็จะแอบมาเป่าข้างหูของผม
แต่ผมกลับไปถามพ่อกลับแม่ ซึ่งมันเป็นเรื่องจริงๆเพราะปู่ผมไปเจอ ตอนนั้นแม่เล่าให้ฟัง พ่อผมและแม่กับปู่ไปเที่ยวที่ทะเลแห่งหนึ่งตอนนั้นผมยังแบเบาะขาไปก็สนุกพอขากลับทุกคนก็เหนื่อย พ่อเล่นน้ำมากเลยขับรถมะค่อยไหวจึงจอดข้างทาง แล้วฝั่งตรงข้างจะมีศาลอยู่ที่หนึ่งพ่อผมบอกกับปู่และแม่ว่าจะได้ให้ศาลดูแลรถเผื่อโดนจี้ สักพักพ่อและก็หลับไปแต่ปู่ของผมเป็นคนนอนดึกจึงยังไม่หลับ
ขณะนั้นก็มีคนร้องโอดโอยเหมือนจะเป็นจะตายอยู่ตรงถนนปู่ผมจึงลงไปดูแต่กลับไมเห็นอาไร พอสักพักก็มีอีกแต่เสียงเริ่มดังขึ้นเหมือนกับปู่ได้ยินคนเดียว ปลุกพ่อก็ไม่ตื่น ปู่ลงไปดูอีกครั้ง กลับเห็นผู้ชายนอนกลางถนนจะคลานไปข้างทางก็คลานไม่ได้ร้องโอดโอย แล้วผู้ชายคนนั้นก็ชี้มาหาแล้วขอความช่วยเหลือปู่กำลังไปช่วยแต่ขณะนั้นได้มีรถสิบล้อวิ่งมาทับขาดไปครึ่งตัวปู่ผมแทบช็อค โดนสิบล้อทับแต่ยังดิ้นอยู่แล้วร้องครวญคราญมาก
ปู่ผมจึงวิ่งขึ้นไปในรถแล้วทำเป็นหลับ ปู่ก็หลับเลยไม่ได้เล่าให้พ่อกับแม่ฟัง พอมาตี4 พ่อผมติ่นกำลังจะขับรถกลับบ้านแต่รถเหมือนติดอาไรอยู่จึงให้ปู่ลงไปดู เพราะแม่อุ้มผมอยู่เลยลงไปไม่ได้ ปู่จึงลงไปดูภาพที่ปู่เห็นคือ ผู้ชายคนเดิมนั้นขาดครึ่งตัวครั้นล้อรถไว้ทั้งสองข้างปู่ผมจึงตะโกนผีผีผีพ่อผมจึงลงมาดูแต่ที่ติดคือไม้ พ่อผมจึงว่าปู่ปู่ก็เถียงว่าเห็นจริงๆๆ พ่อผมก็ไม่เชื่อ ก่อนที่พ่อผมจะพูดคำว่าไหนออกมาสิ
ก็ได้เห็นคนคนเดิมนอนครานแต่ไปไม่ได้คนเดิมแล้วขอร้องให้ช่วย แต่คราวนี้ปู่ไม่เห็น พ่อจึงเข้าไปช่วยแต่ภาพที่ดห็นคือรถคันเดิมวิ่งมาทับขาดครึ่งตัว พอพ่อผมเห็นก็ขึ้นรถแล้วขับรถไปเลยพอประมาณ6โมงเช้าก็ได้ไปจอดกินข้าวร้าหนึ่งแล้วถามเขาว่าตรงทางแห่งหนึ่งเคยมีคนตายไหม คนคนนั้นก็เล่าให้ฟังว่าเคยมีนักขับรถคนหนึ่ง ง่วงแล้วขับรถไปชนต้นไม้ตัวเลยกระเด็นออกมากลางถนนเขาจึงจะคลานไปข้างถนนแต่แขนขาเขาหักหมดแล้วจึงไปไม่ได้จึงถูกรถสิบล้อทับเอา เวลามีคนขับรถผ่านมาแถวนี้ก็จะเห็นได้เกือบทุกคน
เขาบอกคนนี้เขาตายแบบวนเวียนไปมาอยู่ในศาลแห่งนั้น เรื่องมีเท่าและครับขอบคุณที่เสียเวลามาอ่านะครับผม
เจ้าที่บ้าน....ใจดีค่ะ
เรื่องนี้ยาวหน่อยนะคะ ไหนๆ ก็วันนี้ว่างๆ เรื่องเกิดขึ้นที่บ้าน (บ้านใหม่ พึ่งสร้าง) สร้างเสร็จ
แม่กับเราก็ย้ายเข้าไปอยู่ ส่วนพ่อ ย่า พี่ชาย ยังอยู่ที่บ้านเก่ามีอยู่วันหนึ่ง แม่นอนกลางวันกำลังเคลิ้มๆ ก็มีคนมาปลุกบอกว่า "ประตูไม่ได้ล็อก" แม่ตื่น แล้วรีบล็อกประตู แล้วปันจักรยานไปร้านอาหารของเพื่อนที่ปากซอยเลย รอจนกว่าเราจะกลับจาก ร.ร. (ตอนนั้น ป.3)หลังจากนั้นไม่นาน แม่ก็ให้ อาจารย์มหาลัยเอกชนแห่งหนึ่งอยู่หลังรามเช่า แรกๆ ที่เขาย้ายเข้า เขาก็เอาเจ้าที่ย้ายไปเก็บในห้องเก็บของแต่แม่เราไม่รู้เรื่อง เพราะปกติไปเก็บ
เขาจะฝากเงินไว้ที่ร้านอาหารเพื่อนของแม่ จนเข้าเดือนที่ 4 แม่ต้องไปเก็บค่าเช่าบ้าน คราวนี้แม่เข้าไปในบ้าน แล้วแม่ก็เจอเจ้าที่อยู่ในห้องเก็บของ แม่ก็เลยนึกในใจว่า "จัดการเลยเจ้าที่ ทำไมทำแบบนี้" พออีกวันต่อมา คนเช่าเขาก็โทรมาหาแม่ บอกว่าไม่อยู่แล้ว จะย้ายออก พอย้ายออก ก็มีนักศึกษามหาลัยเดียวกันขอเช่าต่อ อยู่ 4 ปี ก็ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจากนั้นก็ให้เพื่อนของเขาเช่าต่ออีก 2 ปี แล้วก็มีนักศึกษารามเช่าต่ออีก 4 ปี ก็ปกติดี จ
ากนั้นครอบครัวเราก็ย้ายเข้า ช่วงหนึ่งเพื่อนแม่เขาจัดงานบวชให้ลูกเขาที่โคราช ให้ไปขึ้นรถทัวร์ที่หน้าบ้านเขา (กรุงเทพ) เช้าก็ออกจากบ้านกันไปหมดแต่คงจะสายของเจ้าภาพ เขาก็โทรตาม (โทรเข้าบ้าน) มีคนรับโทรศัพท์ แล้วบอกว่า "ออกไปกันหมดแล้ว เดี๋ยวก็คงใกล้ถึงแล้วแหล่ะ" เป็นเสียงผู้ชายเขาก็คิดว่าเป็นพ่อเรา พอวางหูโทรศัพท์ รถเราก็จอดหน้าบ้านเขาพอดี เขาก็มาถามว่าใครรับโทรศัพท์
เราก็บอกว่าไม่รู้ ไม่มีใครอยู่บ้านนะ "งง" กันสิคะหลังจากนั้น ก็พยายามโทรเข้าบ้านช่วงเวลาที่ไม่อยู่กัน ดูว่าจะมีคนรับไหม แล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าโทรผิด แล้วเขารู้ได้ไงว่า "ออกจากบ้านไปหมดแล้ว"เหตุการณ์ก็ปกติ อยู่จนเข้าปีที่ 4 ป้าเราก็มาอยู่ด้วย โดยอยู่ห้องข้างล่าง อยู่ได้ประมาณ 4-5 เดือน คืนหนึ่งเวลาประมาณตี 2 เขาก็ได้ยินเสียงคนเข้าห้องน้ำ เช้ามาเขาก็มาถามว่า "เมื่อคืนใครลงมาเข้าห้องน้ำอะ ไฟก็ไม่เปิด ได้ยินเสียงปิดประตู เสียงราดน้ำ" ก็มีแต่คนปฏิเสธ เพราะห้องน้ำข้างบนก็มี จะลงมาทำไมอยู่มาได้อีก ปีกว่าๆ ป้าเขาเป็นคนเข้าห้องน้ำแล้วไม่ราดน้ำที่พื้น
มันก็จะเป็นรอยเท้าย่ำเต็มไปหมด แม่เราก็บ่นในใจว่า "พื้นสกปรกจัง"ตกกลางคืนประมาณตี 4(เขาตื่นแล้ว เพราะเป็นคนต่างจังหวัด นอนเร็ว ตื่นเร็ว แต่ยังไม่ลุกจากที่นอนนะ) เขาก็เห็นมีเงาดำๆ รูปร่างท้วมๆ เปิดประตูห้องแล้วก็ยืนมอง เขาก็กลัว แต่ไม่รู้จะทำไง (แรกๆ ก็คิดว่าพ่อเรา ไม่ก็ พี่ชายเรา เพราะหุ่นเหมือนกัน) เช้ามาเขาก็ถามว่าใครมาเปิดประตูก็ไม่มีใครตอบ (แต่แม่เรารู้ว่าเป็น "เจ้าที่" เพราะแม่ไปดูมาหลายที่ บางคนเป็นเพื่อนแม่ แล้วมาเที่ยวบ้าน มีแต่คนบอกว่า เจ้าที่เป็นแขกผิวดำ นับถืออิสลาม ใจดี แต่ถ้าใครจะมานอนให้จุดธูปบอกท่าน)ป้าอยู่ได้ไม่นานก็กลับบ้านไป
จนเราเรียนมหาลัยปี 3 แถวกล้วยน้ำไท ช่วงนั้นพ่อกับแม่เราไปเที่ยวใต้ พี่ชายเราขึ้นเวร (ร.พ.) ก็เลยเอาเพื่อนเขามาอยู่ด้วย ญ 1 ช1 เรานอนในห้องกับพี่ผู้หญิง ส่วน พี่ผู้ชายนอนข้างล่าง เราให้พี่เขานอนเตียง แต่เขาไม่ยอม เราก็เลยนอนเตียง พี่เขานอนพื้น เช้าอีกวันเรามีเรียนที่วิทยาเขตรังสิต ก็ออกจากบ้านตั้งแต่ 5.30 น (อันนี้พี่ผู้หญิงมาเล่าให้แม่ฟัง) พอเราออกไป พี่เขาก็ยังนอนอยู่ เขาบอกว่ามีคนมาเปิดประตูห้อง แล้วก็เดินเข้ามายืนมองพี่เขาที่ปลายเท้า แล้วก็เดินมานั่งลงที่เตียง แล้วก็มองเขาอีก จากนั้นก็ล้มลงนอนที่เตียง พี่เขาก็คิดว่าเป็นพี่ผู้ชายขึ้นมา พอเช้าเขาก็ไปว่า "ขึ้นมาทำไม ห้องผู้หญิงนะ" แต่พี่ผู้ชายเขาบอกว่า "ไม่ได้ขึ้นไป" พอพ่อกับแม่กลับมา เขาก็เลยเล่าแต่แม่เราไม่พูด กลัวว่าเขาจะกลัว แล้วไม่กล้ามาอีกเรื่องก็ไม่เกิดขึ้นอีกเลย หลังจากเราเรียนจบ แล้วทำงาน มีอยู่วันหนึ่ง เรากลับถึงบ้าน กะว่าจะอาบน้ำ ก็เลยเข้าห้องเปิดแอร์ แล้วก็เปลี่ยนผ้า ปิดประตู แต่ไม่ได้ล็อก เดินออกมาเข้าห้องน้ำ
หลังจากเสร็จแล้วก็เดินจะเข้าห้อง กำ.........ห้องเปิดไม่ได้ ประตูลูกบิดล็อกจากในห้อง ใครล็อก? (เราไม่ได้ล็อกนะ)บิดๆๆๆ หมุนๆๆ อยู่นาน เปิดไม่ออกสักที เลยเดินไปหาแม่ที่ห้อง ถามหากุญแจ แล้วก็ถามพ่อกับแม่ว่า"พี่ชายเรากลับมาแล้วรึ แล้วเขาห้องเราล็อกประตูทำไม"พ่อบอกว่า"พี่เรายังไม่กลับ" เราก็บอกว่า"ประตูห้องล็อก" แล้วเราก็เดินไปบิดๆๆ ลูกบิดประตูอีก ก็เปิดไม่ออก นานพอสมควร พ่อเราก็เลยเดินบิดทีเดียว ประตูเปิดออกเลย เราก็ งง งง งง งง งง ดิคะ >>> ใครล็อกประตูห้อง? กลัวนะ หาสาเหตุไม่ได้ คิดแต่ว่าลูกบิดมันพัง จนประมาณเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เช้าวันนั้นประมาณ 6.00 น.
แม่เราทำกับข้าวอยู่ในครัว ก็หันซ้ายหันขวา หางตาก็เห็นใครบางคน รูปร่างท้วมๆ ใส่เสื้อสีขาว กำลังเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน แม่ก็คิดว่า"พ่อ" (แต่พ่อยังไม่ตื่น) "พี่ชาย"(วันนี้ใส่เสื้อสีแดง) แล้วใครหล่ะ??? พอแม่เล่าให้พ่อกับพี่ชายเราฟัง พี่ชายเรากลัวอยู่แล้วยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ จะขึ้นห้องก็ต้องรอแฟน จะลงข้างล่างตอนกลางคืนก็ไม่กล้าแต่มีอยู่เรื่องหนึ่ง หาข้อสรุปไม่ได้จริงๆ เกิดขึ้นมานานแล้ว คือ เสียงลูกแก้ว (บ้านเราเป็นทาวเฮาน์ กำแพงเดียวกันกับข้างบ้าน)ทุกวันจะมีเสียงลูกแก้วหล่นลงพื้น แล้วกระเด้ง (เป็นพักๆ เหมือนคนเล่น) แรกๆ เราคิดว่าข้างบ้าน (อยู่มาได้หลายปี พึ่งคิดจะถาม)
วันนั้นเดินเข้าไปเล่นกับลูกเขา ก็เลยถามว่าน้องเขาเล่นลูกแก้วรึคะ เขาก็บอกว่า"ป่าว..ไม่ได้เล่น" เขาก็นึกว่าบ้านเราเล่น แล้วเสียงมันมาจากไหน??เสียงมันจะเกิดเวลาประมาณ 16.00 น.ดังสักพัก 19.00 น.ดังสักพัก แล้วก็ 22.00 น. อีกสักพัก เป็นแบบนี้ทุกวัน แรกๆ ที่รู้ว่าไม่ใช่ข้างบ้านเล่นลูกแก้ว ก็กลัวนะ หลังๆ ชินแล้วอะเรื่องที่เล่ามาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงทุกประการค่ะ ปัจจุบันก็ยังอยู่บ้านหลังนี้ คิดในแง่ดีคือ เจ้าที่เขามาดูแลเรา ดูแลบ้านเราให้ปลอดภัย
แม่กับเราก็ย้ายเข้าไปอยู่ ส่วนพ่อ ย่า พี่ชาย ยังอยู่ที่บ้านเก่ามีอยู่วันหนึ่ง แม่นอนกลางวันกำลังเคลิ้มๆ ก็มีคนมาปลุกบอกว่า "ประตูไม่ได้ล็อก" แม่ตื่น แล้วรีบล็อกประตู แล้วปันจักรยานไปร้านอาหารของเพื่อนที่ปากซอยเลย รอจนกว่าเราจะกลับจาก ร.ร. (ตอนนั้น ป.3)หลังจากนั้นไม่นาน แม่ก็ให้ อาจารย์มหาลัยเอกชนแห่งหนึ่งอยู่หลังรามเช่า แรกๆ ที่เขาย้ายเข้า เขาก็เอาเจ้าที่ย้ายไปเก็บในห้องเก็บของแต่แม่เราไม่รู้เรื่อง เพราะปกติไปเก็บ
เขาจะฝากเงินไว้ที่ร้านอาหารเพื่อนของแม่ จนเข้าเดือนที่ 4 แม่ต้องไปเก็บค่าเช่าบ้าน คราวนี้แม่เข้าไปในบ้าน แล้วแม่ก็เจอเจ้าที่อยู่ในห้องเก็บของ แม่ก็เลยนึกในใจว่า "จัดการเลยเจ้าที่ ทำไมทำแบบนี้" พออีกวันต่อมา คนเช่าเขาก็โทรมาหาแม่ บอกว่าไม่อยู่แล้ว จะย้ายออก พอย้ายออก ก็มีนักศึกษามหาลัยเดียวกันขอเช่าต่อ อยู่ 4 ปี ก็ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจากนั้นก็ให้เพื่อนของเขาเช่าต่ออีก 2 ปี แล้วก็มีนักศึกษารามเช่าต่ออีก 4 ปี ก็ปกติดี จ
ากนั้นครอบครัวเราก็ย้ายเข้า ช่วงหนึ่งเพื่อนแม่เขาจัดงานบวชให้ลูกเขาที่โคราช ให้ไปขึ้นรถทัวร์ที่หน้าบ้านเขา (กรุงเทพ) เช้าก็ออกจากบ้านกันไปหมดแต่คงจะสายของเจ้าภาพ เขาก็โทรตาม (โทรเข้าบ้าน) มีคนรับโทรศัพท์ แล้วบอกว่า "ออกไปกันหมดแล้ว เดี๋ยวก็คงใกล้ถึงแล้วแหล่ะ" เป็นเสียงผู้ชายเขาก็คิดว่าเป็นพ่อเรา พอวางหูโทรศัพท์ รถเราก็จอดหน้าบ้านเขาพอดี เขาก็มาถามว่าใครรับโทรศัพท์
เราก็บอกว่าไม่รู้ ไม่มีใครอยู่บ้านนะ "งง" กันสิคะหลังจากนั้น ก็พยายามโทรเข้าบ้านช่วงเวลาที่ไม่อยู่กัน ดูว่าจะมีคนรับไหม แล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าโทรผิด แล้วเขารู้ได้ไงว่า "ออกจากบ้านไปหมดแล้ว"เหตุการณ์ก็ปกติ อยู่จนเข้าปีที่ 4 ป้าเราก็มาอยู่ด้วย โดยอยู่ห้องข้างล่าง อยู่ได้ประมาณ 4-5 เดือน คืนหนึ่งเวลาประมาณตี 2 เขาก็ได้ยินเสียงคนเข้าห้องน้ำ เช้ามาเขาก็มาถามว่า "เมื่อคืนใครลงมาเข้าห้องน้ำอะ ไฟก็ไม่เปิด ได้ยินเสียงปิดประตู เสียงราดน้ำ" ก็มีแต่คนปฏิเสธ เพราะห้องน้ำข้างบนก็มี จะลงมาทำไมอยู่มาได้อีก ปีกว่าๆ ป้าเขาเป็นคนเข้าห้องน้ำแล้วไม่ราดน้ำที่พื้น
มันก็จะเป็นรอยเท้าย่ำเต็มไปหมด แม่เราก็บ่นในใจว่า "พื้นสกปรกจัง"ตกกลางคืนประมาณตี 4(เขาตื่นแล้ว เพราะเป็นคนต่างจังหวัด นอนเร็ว ตื่นเร็ว แต่ยังไม่ลุกจากที่นอนนะ) เขาก็เห็นมีเงาดำๆ รูปร่างท้วมๆ เปิดประตูห้องแล้วก็ยืนมอง เขาก็กลัว แต่ไม่รู้จะทำไง (แรกๆ ก็คิดว่าพ่อเรา ไม่ก็ พี่ชายเรา เพราะหุ่นเหมือนกัน) เช้ามาเขาก็ถามว่าใครมาเปิดประตูก็ไม่มีใครตอบ (แต่แม่เรารู้ว่าเป็น "เจ้าที่" เพราะแม่ไปดูมาหลายที่ บางคนเป็นเพื่อนแม่ แล้วมาเที่ยวบ้าน มีแต่คนบอกว่า เจ้าที่เป็นแขกผิวดำ นับถืออิสลาม ใจดี แต่ถ้าใครจะมานอนให้จุดธูปบอกท่าน)ป้าอยู่ได้ไม่นานก็กลับบ้านไป
จนเราเรียนมหาลัยปี 3 แถวกล้วยน้ำไท ช่วงนั้นพ่อกับแม่เราไปเที่ยวใต้ พี่ชายเราขึ้นเวร (ร.พ.) ก็เลยเอาเพื่อนเขามาอยู่ด้วย ญ 1 ช1 เรานอนในห้องกับพี่ผู้หญิง ส่วน พี่ผู้ชายนอนข้างล่าง เราให้พี่เขานอนเตียง แต่เขาไม่ยอม เราก็เลยนอนเตียง พี่เขานอนพื้น เช้าอีกวันเรามีเรียนที่วิทยาเขตรังสิต ก็ออกจากบ้านตั้งแต่ 5.30 น (อันนี้พี่ผู้หญิงมาเล่าให้แม่ฟัง) พอเราออกไป พี่เขาก็ยังนอนอยู่ เขาบอกว่ามีคนมาเปิดประตูห้อง แล้วก็เดินเข้ามายืนมองพี่เขาที่ปลายเท้า แล้วก็เดินมานั่งลงที่เตียง แล้วก็มองเขาอีก จากนั้นก็ล้มลงนอนที่เตียง พี่เขาก็คิดว่าเป็นพี่ผู้ชายขึ้นมา พอเช้าเขาก็ไปว่า "ขึ้นมาทำไม ห้องผู้หญิงนะ" แต่พี่ผู้ชายเขาบอกว่า "ไม่ได้ขึ้นไป" พอพ่อกับแม่กลับมา เขาก็เลยเล่าแต่แม่เราไม่พูด กลัวว่าเขาจะกลัว แล้วไม่กล้ามาอีกเรื่องก็ไม่เกิดขึ้นอีกเลย หลังจากเราเรียนจบ แล้วทำงาน มีอยู่วันหนึ่ง เรากลับถึงบ้าน กะว่าจะอาบน้ำ ก็เลยเข้าห้องเปิดแอร์ แล้วก็เปลี่ยนผ้า ปิดประตู แต่ไม่ได้ล็อก เดินออกมาเข้าห้องน้ำ
หลังจากเสร็จแล้วก็เดินจะเข้าห้อง กำ.........ห้องเปิดไม่ได้ ประตูลูกบิดล็อกจากในห้อง ใครล็อก? (เราไม่ได้ล็อกนะ)บิดๆๆๆ หมุนๆๆ อยู่นาน เปิดไม่ออกสักที เลยเดินไปหาแม่ที่ห้อง ถามหากุญแจ แล้วก็ถามพ่อกับแม่ว่า"พี่ชายเรากลับมาแล้วรึ แล้วเขาห้องเราล็อกประตูทำไม"พ่อบอกว่า"พี่เรายังไม่กลับ" เราก็บอกว่า"ประตูห้องล็อก" แล้วเราก็เดินไปบิดๆๆ ลูกบิดประตูอีก ก็เปิดไม่ออก นานพอสมควร พ่อเราก็เลยเดินบิดทีเดียว ประตูเปิดออกเลย เราก็ งง งง งง งง งง ดิคะ >>> ใครล็อกประตูห้อง? กลัวนะ หาสาเหตุไม่ได้ คิดแต่ว่าลูกบิดมันพัง จนประมาณเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เช้าวันนั้นประมาณ 6.00 น.
แม่เราทำกับข้าวอยู่ในครัว ก็หันซ้ายหันขวา หางตาก็เห็นใครบางคน รูปร่างท้วมๆ ใส่เสื้อสีขาว กำลังเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน แม่ก็คิดว่า"พ่อ" (แต่พ่อยังไม่ตื่น) "พี่ชาย"(วันนี้ใส่เสื้อสีแดง) แล้วใครหล่ะ??? พอแม่เล่าให้พ่อกับพี่ชายเราฟัง พี่ชายเรากลัวอยู่แล้วยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ จะขึ้นห้องก็ต้องรอแฟน จะลงข้างล่างตอนกลางคืนก็ไม่กล้าแต่มีอยู่เรื่องหนึ่ง หาข้อสรุปไม่ได้จริงๆ เกิดขึ้นมานานแล้ว คือ เสียงลูกแก้ว (บ้านเราเป็นทาวเฮาน์ กำแพงเดียวกันกับข้างบ้าน)ทุกวันจะมีเสียงลูกแก้วหล่นลงพื้น แล้วกระเด้ง (เป็นพักๆ เหมือนคนเล่น) แรกๆ เราคิดว่าข้างบ้าน (อยู่มาได้หลายปี พึ่งคิดจะถาม)
วันนั้นเดินเข้าไปเล่นกับลูกเขา ก็เลยถามว่าน้องเขาเล่นลูกแก้วรึคะ เขาก็บอกว่า"ป่าว..ไม่ได้เล่น" เขาก็นึกว่าบ้านเราเล่น แล้วเสียงมันมาจากไหน??เสียงมันจะเกิดเวลาประมาณ 16.00 น.ดังสักพัก 19.00 น.ดังสักพัก แล้วก็ 22.00 น. อีกสักพัก เป็นแบบนี้ทุกวัน แรกๆ ที่รู้ว่าไม่ใช่ข้างบ้านเล่นลูกแก้ว ก็กลัวนะ หลังๆ ชินแล้วอะเรื่องที่เล่ามาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงทุกประการค่ะ ปัจจุบันก็ยังอยู่บ้านหลังนี้ คิดในแง่ดีคือ เจ้าที่เขามาดูแลเรา ดูแลบ้านเราให้ปลอดภัย
ถนนสายสยอง(คิดภาพแล้วน่ากลัวโคด)
สวัสดีพี่ๆน้องๆ ชาว The shock ทุกคนนะครับ
ผมอ่านเรื่องของคนอื่นมามาก วันนี้จะขอเล่าเรื่องของตัวเองมั่งครับเรื่องมีอยู่ว่า พี่ข้างบ้านผมเค้าชื่อว่า เต้ย ครับ
เป็นคนที่เรียนเก่งมากๆครอบครัวเขาค่อนข้างมีฐานะพอเรียนปริญญาตรีจบ เขาก็ไปเรียนต่อที่ อเมริกา เป็นเวลา 2 ปี หลังจากกลับมา พอเพื่อนเค้ารู้ข่าวก็เลยโทรชวนให้ออกไปดื่มเหล้าด้วยกันพี่เค้าก็ออกจากบ้านเวลาประมาน 2 ทุ่มกว่าครับ ทางเข้าบ้านเพื่อนพี่ค้อนข้างเปลี่ยว ไม่มีบ้านคนและเป็นทางลูกรัง สองข้างทางจะเป็นทุ่งนานะคับ เป็นถนนที่ตรงและยาวมากประมาณ 10 กิโลได้ ที่หน้าแปลกก็คือ
ทั้งๆที่ถนนสายนี้ไม่มีทางโค้งหรือสามแยก สี่แยก แต่กลับมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และส่วนผุ้ที่ประสบอุบัติเหตุจะเสียชีวิตแบบเดียวกันคือ รถล้ม คอหัก หมุนได้รอบ เกือบทุกราย หลังจากที่พี่ เต้ย ดื่มเหล้าเสร็จก็อยู่ในอาการเมาได้ที่เลย จะขอตัวกลับบ้านก่อน ล่ำลากันเสร็จแล้ว เวลาประมาณ ตี2เค้าก็ขี่รถมอเตอร์ไซคันโปรด กลับมาทางเดิมระหว่างทางที่ขี่มานั้นพี่เค้าสังเกตเห็นว่ามีคนกำลังเดินมาจากทุ่งนาและกำลังจะขึ้นมาบนถนนทำท่าเหมือนจะโบกให้พี่เค้าจอด พี่เค้าก็จอดครับ ปรากฎว่ามีผู้ชายคนหนึ่งเดินขึ้นมาจากข้างทางเนื้อตัวเลอะเทอะไปด้วยโคลนตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
แล้วลุงคนนั้นก็ถามพี่ว่า "ไอ้หนูเอ็งมีไฟแช็กรึป่าววะ ขอข้าจุดบุหรี่หน่อย" พี่ผมเค้าเห็นท่าไม่ค่อยดีเพราะเนื้อตัวมีแต่โคลนแต่จะดูดบุหรี่บุหรี่ เค้าเลยบิดรถหนีแต่สิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อ ลุงคนนั้นเค้าวิ่งตามครับพี่ผมก็บิดหนีใหญ่เลย พี่ผมมองกระจกหลัง เห็นว่าลุงคนนั้นเค้าวิ่งมาใกล้ตัวรถแล้วกระโดดจะคว้าตัว พี่เค้าเลยเบิ้ลเครื่องหนี ลุงคนนั้นพอจับไม่ได้เค้าก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งตามต่อและก็กระโดดคว้าอีกแต่พี่เค้าก็หนีได้อีกพออกมาถึงสามแยกพี่เค้าก็ขอนอนบ้านญาติที่มีบ้านอยู่แถวนั้นไม่กล้ากลับไปนอนบ้านแล้ว พอรุ่งเช้าพี่เค้าก็ขอตัวกลับบ้าน เดินออกมาที่รถที่จอดอยู่บนลานปูนหน้าบ้านก็พบว่ามีรอยเท้าเปื้อนโคลนเดินย่ำอยู่เต็มลานบ้านเลยครับ หลังจากลับไปที่บ้านแล้ว เค้าก็ถามแม่ แม่ก็บอกว่า เคยมีลุงคนนึง
เค้าเมาเหล้าแล้วไปเก็บเบ็ดที่ปักเอาไว้เกิดอยากสูบบุหรี่ขึ้นมา กำลังจะจุดไฟแช็กแต่ไฟแช็กตกน้ำเลยก้มลงไปมองแต่ตัวเองเมาแล้วหน้ามืดหัวทิ่มลงไปในนั้นแล้วจมน้ำตาย พี่เค้าก้เลยคิดเล่นๆว่าคนที่ขี่มอเตอร์ไซแล้วล้มคอหักตายนี่น่าจะมาจากการที่โดนลุงคนนั้นวิ่งตามแล้วกระโดดคว้าแบบที่เค้าเจอเมื่อคืนเป็นแน่ หลังจ่กวันนั้นผ่านไปประมาน 3 อาทิตย์ มีคนขับรถมอเตอร์ไซล้มคอหักตายพี่เค้าเลยไปดูกับชาวบ้านเค้าด้วย
พี่สังเกตเห็นว่า ที่บริเวณรอบแถของรถที่ล้มมีรอยเท้าเปื้อนโคลนเหมือนคนวิ่งตามรถ เป็นระยะทางไกลพอสมควร เค้าก็เลยรู้สาเหตุว่าทำไม คนคนนี้ถึงได้รถล้มแต่ก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง หลังจากวันนั้นพี่เค้าก็กลับอเมริกา ผมก็ไม่ได้เจอเค้าอีกนานๆถึงจะกลับมาซะที ยังมีเรื่องเล่าอีกมากมายไว้วันหลังจะมาเล่าให้ฟังกันใหม่นะคับ
ผมอ่านเรื่องของคนอื่นมามาก วันนี้จะขอเล่าเรื่องของตัวเองมั่งครับเรื่องมีอยู่ว่า พี่ข้างบ้านผมเค้าชื่อว่า เต้ย ครับ
เป็นคนที่เรียนเก่งมากๆครอบครัวเขาค่อนข้างมีฐานะพอเรียนปริญญาตรีจบ เขาก็ไปเรียนต่อที่ อเมริกา เป็นเวลา 2 ปี หลังจากกลับมา พอเพื่อนเค้ารู้ข่าวก็เลยโทรชวนให้ออกไปดื่มเหล้าด้วยกันพี่เค้าก็ออกจากบ้านเวลาประมาน 2 ทุ่มกว่าครับ ทางเข้าบ้านเพื่อนพี่ค้อนข้างเปลี่ยว ไม่มีบ้านคนและเป็นทางลูกรัง สองข้างทางจะเป็นทุ่งนานะคับ เป็นถนนที่ตรงและยาวมากประมาณ 10 กิโลได้ ที่หน้าแปลกก็คือ
ทั้งๆที่ถนนสายนี้ไม่มีทางโค้งหรือสามแยก สี่แยก แต่กลับมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และส่วนผุ้ที่ประสบอุบัติเหตุจะเสียชีวิตแบบเดียวกันคือ รถล้ม คอหัก หมุนได้รอบ เกือบทุกราย หลังจากที่พี่ เต้ย ดื่มเหล้าเสร็จก็อยู่ในอาการเมาได้ที่เลย จะขอตัวกลับบ้านก่อน ล่ำลากันเสร็จแล้ว เวลาประมาณ ตี2เค้าก็ขี่รถมอเตอร์ไซคันโปรด กลับมาทางเดิมระหว่างทางที่ขี่มานั้นพี่เค้าสังเกตเห็นว่ามีคนกำลังเดินมาจากทุ่งนาและกำลังจะขึ้นมาบนถนนทำท่าเหมือนจะโบกให้พี่เค้าจอด พี่เค้าก็จอดครับ ปรากฎว่ามีผู้ชายคนหนึ่งเดินขึ้นมาจากข้างทางเนื้อตัวเลอะเทอะไปด้วยโคลนตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
แล้วลุงคนนั้นก็ถามพี่ว่า "ไอ้หนูเอ็งมีไฟแช็กรึป่าววะ ขอข้าจุดบุหรี่หน่อย" พี่ผมเค้าเห็นท่าไม่ค่อยดีเพราะเนื้อตัวมีแต่โคลนแต่จะดูดบุหรี่บุหรี่ เค้าเลยบิดรถหนีแต่สิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อ ลุงคนนั้นเค้าวิ่งตามครับพี่ผมก็บิดหนีใหญ่เลย พี่ผมมองกระจกหลัง เห็นว่าลุงคนนั้นเค้าวิ่งมาใกล้ตัวรถแล้วกระโดดจะคว้าตัว พี่เค้าเลยเบิ้ลเครื่องหนี ลุงคนนั้นพอจับไม่ได้เค้าก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งตามต่อและก็กระโดดคว้าอีกแต่พี่เค้าก็หนีได้อีกพออกมาถึงสามแยกพี่เค้าก็ขอนอนบ้านญาติที่มีบ้านอยู่แถวนั้นไม่กล้ากลับไปนอนบ้านแล้ว พอรุ่งเช้าพี่เค้าก็ขอตัวกลับบ้าน เดินออกมาที่รถที่จอดอยู่บนลานปูนหน้าบ้านก็พบว่ามีรอยเท้าเปื้อนโคลนเดินย่ำอยู่เต็มลานบ้านเลยครับ หลังจากลับไปที่บ้านแล้ว เค้าก็ถามแม่ แม่ก็บอกว่า เคยมีลุงคนนึง
เค้าเมาเหล้าแล้วไปเก็บเบ็ดที่ปักเอาไว้เกิดอยากสูบบุหรี่ขึ้นมา กำลังจะจุดไฟแช็กแต่ไฟแช็กตกน้ำเลยก้มลงไปมองแต่ตัวเองเมาแล้วหน้ามืดหัวทิ่มลงไปในนั้นแล้วจมน้ำตาย พี่เค้าก้เลยคิดเล่นๆว่าคนที่ขี่มอเตอร์ไซแล้วล้มคอหักตายนี่น่าจะมาจากการที่โดนลุงคนนั้นวิ่งตามแล้วกระโดดคว้าแบบที่เค้าเจอเมื่อคืนเป็นแน่ หลังจ่กวันนั้นผ่านไปประมาน 3 อาทิตย์ มีคนขับรถมอเตอร์ไซล้มคอหักตายพี่เค้าเลยไปดูกับชาวบ้านเค้าด้วย
พี่สังเกตเห็นว่า ที่บริเวณรอบแถของรถที่ล้มมีรอยเท้าเปื้อนโคลนเหมือนคนวิ่งตามรถ เป็นระยะทางไกลพอสมควร เค้าก็เลยรู้สาเหตุว่าทำไม คนคนนี้ถึงได้รถล้มแต่ก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง หลังจากวันนั้นพี่เค้าก็กลับอเมริกา ผมก็ไม่ได้เจอเค้าอีกนานๆถึงจะกลับมาซะที ยังมีเรื่องเล่าอีกมากมายไว้วันหลังจะมาเล่าให้ฟังกันใหม่นะคับ
ลุงมาหา
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 ปี ที่แล้ว
พอดีช่วงนั้นพี่ชายเราได้ไปจับสลากที่ขายของได้ ก็เลยให้แม่ทำขนมจีนน้ำยาให้ เพื่อให้พี่ไปขาย เรากับพี่ได้ไปตลาดซื้อของกันประมาณเที่ยงคืน กลับมาถึงบ้านก็ตี 1 แล้วก็เป็นหน้าที่ของแม่ ที่จะทำน้ำยาต่อ เพราะต้องไปขายแต่เช้า
แม่ก็เลยทำอยู่ที่หน้าบ้าน (มีบริเวณหน้าบ้าน แล้วมีประตูรั้วกัน) ประมาณตี 2 กว่าๆ แม่มีความรู้สึกว่า เหมือนมีคนมายืนอยู่ที่มุมประตูหน้าบ้าน แต่แม่ไม่กล้าหันไปมองตรงๆ ได้แต่ใช้หางตามอง แม่บอกว่าลักษณะคล้ายๆ ผู้ชาย ใส่หมวก ยืนก้มหน้าอยู่ ตอนแรกแม่คิดว่าเป็นขโมย แต่แล้วความรู้สึกก็เกิดขึ้น แม่นึกถึงพี่ชายของแม่ (ลุง) ขึ้นมา เพราะเมื่อตอนหัวค่ำ
แม่ได้พูดขึ้นมากลางโต๊ะกินข้าวว่า "ลุงชอบกินขนมจีนน้ำยามาก" เท่านั้นแหล่ะค่ะ แม่ตั้งสติได้ ก็ยกหมอน้ำยาลงจากเตา แล้วก็ปิดประตู (ที่ตัวบ้าน) วิ่งขึ้นห้องนอนเลย เช้ามาแม่ก็เลยให้พ่อใส่บาตร อุทิศส่วนบุญ ส่วนกุศลไปให้ลุงไว้คราวหน้าจะมาเล่าให้อ่านกันใหม่นะคะ ^_^
พอดีช่วงนั้นพี่ชายเราได้ไปจับสลากที่ขายของได้ ก็เลยให้แม่ทำขนมจีนน้ำยาให้ เพื่อให้พี่ไปขาย เรากับพี่ได้ไปตลาดซื้อของกันประมาณเที่ยงคืน กลับมาถึงบ้านก็ตี 1 แล้วก็เป็นหน้าที่ของแม่ ที่จะทำน้ำยาต่อ เพราะต้องไปขายแต่เช้า
แม่ก็เลยทำอยู่ที่หน้าบ้าน (มีบริเวณหน้าบ้าน แล้วมีประตูรั้วกัน) ประมาณตี 2 กว่าๆ แม่มีความรู้สึกว่า เหมือนมีคนมายืนอยู่ที่มุมประตูหน้าบ้าน แต่แม่ไม่กล้าหันไปมองตรงๆ ได้แต่ใช้หางตามอง แม่บอกว่าลักษณะคล้ายๆ ผู้ชาย ใส่หมวก ยืนก้มหน้าอยู่ ตอนแรกแม่คิดว่าเป็นขโมย แต่แล้วความรู้สึกก็เกิดขึ้น แม่นึกถึงพี่ชายของแม่ (ลุง) ขึ้นมา เพราะเมื่อตอนหัวค่ำ
แม่ได้พูดขึ้นมากลางโต๊ะกินข้าวว่า "ลุงชอบกินขนมจีนน้ำยามาก" เท่านั้นแหล่ะค่ะ แม่ตั้งสติได้ ก็ยกหมอน้ำยาลงจากเตา แล้วก็ปิดประตู (ที่ตัวบ้าน) วิ่งขึ้นห้องนอนเลย เช้ามาแม่ก็เลยให้พ่อใส่บาตร อุทิศส่วนบุญ ส่วนกุศลไปให้ลุงไว้คราวหน้าจะมาเล่าให้อ่านกันใหม่นะคะ ^_^
นางไม้
เรืองก็มีอยู่ว่า ผมอยู่ในบ้านกับตา ยาย แล้วก็น้าสาวอีกคน แต่ตา ยาย น้
าสาวอยู่ข้างล่าง ผมอยู่ห้องข้างบนคนเดียว โดยที่ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าบนห้องนั้นมีอะไรบางอย่างที่ไม่มีตัวตนแอบแฝงอยู่
วันนั้นฝนตกหนักมาก ประกอบกับบ้านที่ผมอยู่มันค่อนข้างเก่า หลังคาเป็นสังกะสีแล้วมันผุ ฝนก็รั่วลงมาจนต้องเอาถังรองน้ำฝน ผมนอนอ่านหนังสือนิยายอยู่คนเดียว ซักพักก็มีเสียงคนเคาะประตูดังมาก ผมถามว่า"ใครอ่ะ"ก็ไม่มีเสียงตอบ เสียงเคาะก็ดังมาอีก คราวนี้เคาะรัวเลยครับ เคาะดังมาก จนผมรำคาญด่าไปเสียยกใหญ่ จนในที่สุดผมก็ลุกไปเปิดประตู แต่สิ่งที่เจอคือความว่างเปล่า มันคงเป็นสัญชาตญาณของเราแล้วมั้งว่ามันคงไม่ค่อยดีแล้ว
ก็เลยค่อยๆปิดประตูอ่านหนังสือต่อ พยายามข่มใจไม่ให้คิดมาก แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า เพิ่งเคาะอยู่เมื่อกี๊น้เอง ตอนที่เรากำลังเปิดก็เคาะอยู่แต่ทำไมเปิดไปไม่เจอใครเลย อะไรจะเร็วขนาดนั้นทั้งที่ตากับยายก็อยู่ข้างล่าง ต้องขึ้นบันไดมา แถมบ้านก็เป็นบ้านไม้ด้วยต้องมีเสียงเดินมั่งล่ะ แต่ก็ไม่มี ผมพยายามสลัดความคิดมากทิ้ง ผมก็นอนอ่านหนังสือต่อ แล้วหน้าต่างก็ดันเป็นกระจกด้วย
สักพักนึงก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเอามือมาถูกระจกดังเอี๊ยดๆ ผมก็รู้แล้วว่าอะไรคืออะไร ผมพยายามไม่มองนะครับ แต่ก็เดห็นจนได้ เป็นมือขาวซีดเหมือนศพเป๊ะ ลูดกระจกไปมาๆ จนผมทนไม่ไหวพยายามเปิดประตูวิ่งหนี พอเปิดได้ก็วิ่งลงมาข้างล่างแบบไม่คิดชีวิตเลย มาถามตาตาก็เลยหัวเราะบอกว่า ผมไม่ได้เจอคนเดียว คนที่เคยมาค้างก็เจอกันมานักต่อนักแล้ว เขาเป็นนางไม้
พอดีอยู่ตรงขื่อด้วยก็เลยเฮี้ยน แล้วตาก็ชี้ไปที่รูปปั้นเป็นผู้หญิงมวยผมท่าเหมือนกำลังย่างเดิน แล้วพูดว่า ไหว้ซะสิ *จบ*
าสาวอยู่ข้างล่าง ผมอยู่ห้องข้างบนคนเดียว โดยที่ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าบนห้องนั้นมีอะไรบางอย่างที่ไม่มีตัวตนแอบแฝงอยู่
วันนั้นฝนตกหนักมาก ประกอบกับบ้านที่ผมอยู่มันค่อนข้างเก่า หลังคาเป็นสังกะสีแล้วมันผุ ฝนก็รั่วลงมาจนต้องเอาถังรองน้ำฝน ผมนอนอ่านหนังสือนิยายอยู่คนเดียว ซักพักก็มีเสียงคนเคาะประตูดังมาก ผมถามว่า"ใครอ่ะ"ก็ไม่มีเสียงตอบ เสียงเคาะก็ดังมาอีก คราวนี้เคาะรัวเลยครับ เคาะดังมาก จนผมรำคาญด่าไปเสียยกใหญ่ จนในที่สุดผมก็ลุกไปเปิดประตู แต่สิ่งที่เจอคือความว่างเปล่า มันคงเป็นสัญชาตญาณของเราแล้วมั้งว่ามันคงไม่ค่อยดีแล้ว
ก็เลยค่อยๆปิดประตูอ่านหนังสือต่อ พยายามข่มใจไม่ให้คิดมาก แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า เพิ่งเคาะอยู่เมื่อกี๊น้เอง ตอนที่เรากำลังเปิดก็เคาะอยู่แต่ทำไมเปิดไปไม่เจอใครเลย อะไรจะเร็วขนาดนั้นทั้งที่ตากับยายก็อยู่ข้างล่าง ต้องขึ้นบันไดมา แถมบ้านก็เป็นบ้านไม้ด้วยต้องมีเสียงเดินมั่งล่ะ แต่ก็ไม่มี ผมพยายามสลัดความคิดมากทิ้ง ผมก็นอนอ่านหนังสือต่อ แล้วหน้าต่างก็ดันเป็นกระจกด้วย
สักพักนึงก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเอามือมาถูกระจกดังเอี๊ยดๆ ผมก็รู้แล้วว่าอะไรคืออะไร ผมพยายามไม่มองนะครับ แต่ก็เดห็นจนได้ เป็นมือขาวซีดเหมือนศพเป๊ะ ลูดกระจกไปมาๆ จนผมทนไม่ไหวพยายามเปิดประตูวิ่งหนี พอเปิดได้ก็วิ่งลงมาข้างล่างแบบไม่คิดชีวิตเลย มาถามตาตาก็เลยหัวเราะบอกว่า ผมไม่ได้เจอคนเดียว คนที่เคยมาค้างก็เจอกันมานักต่อนักแล้ว เขาเป็นนางไม้
พอดีอยู่ตรงขื่อด้วยก็เลยเฮี้ยน แล้วตาก็ชี้ไปที่รูปปั้นเป็นผู้หญิงมวยผมท่าเหมือนกำลังย่างเดิน แล้วพูดว่า ไหว้ซะสิ *จบ*
ผีบ้านผีเรือนพับผ้าให้
ตอนนั้นฉันอายุประมาณ 8-9 ปี
ฉันอาศัยอยู่ที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งใน จังหวัดเพชรบูรณ์ บ้านที่ชั้นพักนั้น มีลักษณะเป็นตึกแถว 2 ชั้น มีอยู่วันหนึ่งฉันได้ขึ้นไปเอาของเล่นบนห้อง พอเดินขึ้นไปถึงก้อเปิดประตูห้องนอนและได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งพับผ้าอยู่บนเตียง ลืมบอกไปว่าในห้องปิดหน้าต่างหมดทำให้มันมืด มองอะไรไม่ค่อยถนัด ฉันเห็นเพียงว่าเป็นผู้หญิงวัยกลางคนสวมเสื้อทรงแขนกระบอกยาวถึงข้อมือ และผ้าถุงหรือกางเกงฉันไม่แน่ใจ แต่จำได้ว่าเป็นชุดสีน้ำเงินออกดำ ฉันไม่ได้มองหน้าเค้าเพราะมันมืด และฉันก้อไม่ได้สนใจอะไร และไม่รู้สึกกลัวด้วยในตอนนั้น ฉันเพียงเดินไปหยิบของๆฉัน ซึ่งมันอญุ่ใกลๆประตู พอหยิบเสร็จฉันก้อลงมา เมื่อลงมาถึง ฉันนึกแอะใจว่าเค้าคือใคร ฉันก้อถามแม่ว่า"แม่ น้าคนที่อยู่บนห้องใครหรอ เพื่อนแม่มาหรอ
เค้าไปอยู่ทำไมข้างบนมืดๆ ไม่ลงมาข้างล่าง" แม่ฉันทำหน้างงมาก และตอบฉันกลับว่า ''ไม่มีนิลูก ลูกเห็นใครหรอ" ฉันก็บรรยายให้แม่ฟัง หลังจากนั้นแม่ฉันจึงเดนขึ้นไปข้างบน และเดินกลับลงมา แล้วแม่ก้อจุดธูปแล้วให้ฉันไหว้ด้วย แม่บอกฉันว่า ที่ฉันเห็นเป็นเจ้าที่ แต่เค้าไม่ได้ทำร้ายเรา เค้าคอยปกปักรักษาเรา
ฉันอาศัยอยู่ที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งใน จังหวัดเพชรบูรณ์ บ้านที่ชั้นพักนั้น มีลักษณะเป็นตึกแถว 2 ชั้น มีอยู่วันหนึ่งฉันได้ขึ้นไปเอาของเล่นบนห้อง พอเดินขึ้นไปถึงก้อเปิดประตูห้องนอนและได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งพับผ้าอยู่บนเตียง ลืมบอกไปว่าในห้องปิดหน้าต่างหมดทำให้มันมืด มองอะไรไม่ค่อยถนัด ฉันเห็นเพียงว่าเป็นผู้หญิงวัยกลางคนสวมเสื้อทรงแขนกระบอกยาวถึงข้อมือ และผ้าถุงหรือกางเกงฉันไม่แน่ใจ แต่จำได้ว่าเป็นชุดสีน้ำเงินออกดำ ฉันไม่ได้มองหน้าเค้าเพราะมันมืด และฉันก้อไม่ได้สนใจอะไร และไม่รู้สึกกลัวด้วยในตอนนั้น ฉันเพียงเดินไปหยิบของๆฉัน ซึ่งมันอญุ่ใกลๆประตู พอหยิบเสร็จฉันก้อลงมา เมื่อลงมาถึง ฉันนึกแอะใจว่าเค้าคือใคร ฉันก้อถามแม่ว่า"แม่ น้าคนที่อยู่บนห้องใครหรอ เพื่อนแม่มาหรอ
เค้าไปอยู่ทำไมข้างบนมืดๆ ไม่ลงมาข้างล่าง" แม่ฉันทำหน้างงมาก และตอบฉันกลับว่า ''ไม่มีนิลูก ลูกเห็นใครหรอ" ฉันก็บรรยายให้แม่ฟัง หลังจากนั้นแม่ฉันจึงเดนขึ้นไปข้างบน และเดินกลับลงมา แล้วแม่ก้อจุดธูปแล้วให้ฉันไหว้ด้วย แม่บอกฉันว่า ที่ฉันเห็นเป็นเจ้าที่ แต่เค้าไม่ได้ทำร้ายเรา เค้าคอยปกปักรักษาเรา
ผีบ้านผีเรือนพับผ้าให้
ตอนนั้นฉันอายุประมาณ 8-9 ปี
ฉันอาศัยอยู่ที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งใน จังหวัดเพชรบูรณ์ บ้านที่ชั้นพักนั้น มีลักษณะเป็นตึกแถว 2 ชั้น มีอยู่วันหนึ่งฉันได้ขึ้นไปเอาของเล่นบนห้อง พอเดินขึ้นไปถึงก้อเปิดประตูห้องนอนและได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งพับผ้าอยู่บนเตียง ลืมบอกไปว่าในห้องปิดหน้าต่างหมดทำให้มันมืด มองอะไรไม่ค่อยถนัด ฉันเห็นเพียงว่าเป็นผู้หญิงวัยกลางคนสวมเสื้อทรงแขนกระบอกยาวถึงข้อมือ และผ้าถุงหรือกางเกงฉันไม่แน่ใจ แต่จำได้ว่าเป็นชุดสีน้ำเงินออกดำ ฉันไม่ได้มองหน้าเค้าเพราะมันมืด และฉันก้อไม่ได้สนใจอะไร และไม่รู้สึกกลัวด้วยในตอนนั้น ฉันเพียงเดินไปหยิบของๆฉัน ซึ่งมันอญุ่ใกลๆประตู พอหยิบเสร็จฉันก้อลงมา เมื่อลงมาถึง ฉันนึกแอะใจว่าเค้าคือใคร ฉันก้อถามแม่ว่า"แม่ น้าคนที่อยู่บนห้องใครหรอ เพื่อนแม่มาหรอ
เค้าไปอยู่ทำไมข้างบนมืดๆ ไม่ลงมาข้างล่าง" แม่ฉันทำหน้างงมาก และตอบฉันกลับว่า ''ไม่มีนิลูก ลูกเห็นใครหรอ" ฉันก็บรรยายให้แม่ฟัง หลังจากนั้นแม่ฉันจึงเดนขึ้นไปข้างบน และเดินกลับลงมา แล้วแม่ก้อจุดธูปแล้วให้ฉันไหว้ด้วย แม่บอกฉันว่า ที่ฉันเห็นเป็นเจ้าที่ แต่เค้าไม่ได้ทำร้ายเรา เค้าคอยปกปักรักษาเรา
ฉันอาศัยอยู่ที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งใน จังหวัดเพชรบูรณ์ บ้านที่ชั้นพักนั้น มีลักษณะเป็นตึกแถว 2 ชั้น มีอยู่วันหนึ่งฉันได้ขึ้นไปเอาของเล่นบนห้อง พอเดินขึ้นไปถึงก้อเปิดประตูห้องนอนและได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งพับผ้าอยู่บนเตียง ลืมบอกไปว่าในห้องปิดหน้าต่างหมดทำให้มันมืด มองอะไรไม่ค่อยถนัด ฉันเห็นเพียงว่าเป็นผู้หญิงวัยกลางคนสวมเสื้อทรงแขนกระบอกยาวถึงข้อมือ และผ้าถุงหรือกางเกงฉันไม่แน่ใจ แต่จำได้ว่าเป็นชุดสีน้ำเงินออกดำ ฉันไม่ได้มองหน้าเค้าเพราะมันมืด และฉันก้อไม่ได้สนใจอะไร และไม่รู้สึกกลัวด้วยในตอนนั้น ฉันเพียงเดินไปหยิบของๆฉัน ซึ่งมันอญุ่ใกลๆประตู พอหยิบเสร็จฉันก้อลงมา เมื่อลงมาถึง ฉันนึกแอะใจว่าเค้าคือใคร ฉันก้อถามแม่ว่า"แม่ น้าคนที่อยู่บนห้องใครหรอ เพื่อนแม่มาหรอ
เค้าไปอยู่ทำไมข้างบนมืดๆ ไม่ลงมาข้างล่าง" แม่ฉันทำหน้างงมาก และตอบฉันกลับว่า ''ไม่มีนิลูก ลูกเห็นใครหรอ" ฉันก็บรรยายให้แม่ฟัง หลังจากนั้นแม่ฉันจึงเดนขึ้นไปข้างบน และเดินกลับลงมา แล้วแม่ก้อจุดธูปแล้วให้ฉันไหว้ด้วย แม่บอกฉันว่า ที่ฉันเห็นเป็นเจ้าที่ แต่เค้าไม่ได้ทำร้ายเรา เค้าคอยปกปักรักษาเรา
บ้านเช่าสยอง
สวัสดีค่ะหนูยังเรียนหนังสืออยู่แต่มีประสบการ์เกี่ยวกับเรื่องสยองขวัญเยอะมาก ด้วยความที่น้องชายและพี่สาวเป็นคนมีเซ้น แต่หนู่ไม่มีหรอกน่ะ
แค่เป็นผลพลอยได้ ได้เจอเรื่องน่าตื่นเต้นมากมาย ไม่ว่าไปที่ไหนก็จะเจอตลอด มาเข้าเรื่องกันดีกว่าค่ะ มีช่วงหนึ่งกำลังสร้างบ้านใหม่เลยต้องย้ายไปอยุ่บ้านเช่า ซึ่งถูกปล่อยล้างมานานและเจ้าของบ้านคนเก่าตายไปแล้ว ลูกหลานเลยปล่อยให้เช่า วันแรกที่ย้ายของเข้าไปในบ้านก็เริ่มสังหรณ์ไม่ดี น้องชายเลือกกำเดาไหลไม่หยุด ทำยังไงก็ไม่หาย แต่พอออกจากบ้านเช่านั้นมาก็หยุดไหลอย่างง่ายดาย ตอนนั้นหนูก็เริ่มกลัวและเพราะเป็นคนคิดมาก ก็เลยคิดว่าเราน่าจะย้ายสิ่งศักดิ์สิทธ์ไปก่อน และเราค่อยเข้าไปอยู่ ที่บ้านนับถือพระพิฆเนศ เราก็ย้ายท่านเข้าไปก่อน และให้คนงานไปนอนเฝ้าของก่อนที่จะย้ายเข้าไปจริงๆ พอวันรุ่งขึ้นมาตรวจบ้านคนงานก็รีบวิ่งมาหาและบอกว่าเมื่อคืนได้ยินเสียงช้างฟาดงวง ผมกลัวมาก
ขอให้คนอื่นมาเฝ้าแทนเถอะ หนูฟังก็ขนลุก เราก็เลยให้คนงานที่ไม่ได้ทำงานประจำ เป็นคนที่เช้าเย็นกลับมาเฝ้าแทน ซึ่งเขาก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ ก็ผ่านพ้นไปไม่มีอะไร ทุกคนคิดว่าท่านพระพิฆเนศคงมาตรวจดูบ้าน พอเริ่มเข้ามาอยู่แรกๆก็ไม่มีอะไร แต่พอนานเข้า ห้องอาบน้ำชั้นสอง อยู่ดีๆก็มีหนอน ที่เป็นหนอนไชศพตกลงมาเต็มไปหมด เหม็นมากด้วย แม่คิดว่าหนูตาย เลยให้คนปีนไปดูปรากฏว่าก็ไม่มีอะไร เราก็เอาละ แต่ไม่มีหนทางอื่นจะย้ายก็ไม่ได้เลยทำความสะอาดหนอนออกและอยู่ต่อ (ยังจะทนเนอะ) มีคืนหนึ่งหนูนอนดึกมาก เพราะเล่นคอม และช่วงนั้นเรากำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่นประมานมัธยมต้น เลยทะเลาะกับแม่รุนแรงบ่อย ทุกครั้งแม่ก็จะไปร้องไห้และก็ไหว้พระ คืนนั้น แม่เรียกให้ไปนอนเราก็นั่งเล่นเกมส์ไม่สนใจ จนทุกคนหลับ(หลับรวมห้องเดียวเพราะบ้านค่อนข้างเล็ก) พอเริ่มตี 2 เราก็ได้ยินเสียงเป็นเสียงนิ่งๆ ไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงหญิงหรือชาย แต่เสียงนิ่งาก บอกว่า "มานอนได้แล้วลูก มานอน" เราก็นึกว่าแม่พูด แต่พอหันไป แม่หลับปุ๋ยเชียว หนูก็เลยกดปิดสวิตไม่ชัดดาวน์ด้วยและวิ่งเข้าไปหาแม่ แม่ก็ตกใจ
ทุกคนตื่นหมด และแม่ก็ถามว่า "ลงไปทำอะไรมา" เราก็งงแม่พูดต่อ "กลิ่นบุหรี่เต็มตัวเลย" เราก็อึ้ง หนูไม่สูบบุหรี่และก็เล่นคอมบนห้องตลอด ไม่ได้ไปไหน เหตุการณ์นั้นทำให้ไม่กล้าเล่นคอมกลางดึกเลยอยู่นานๆเข้าที่บ้านหลังนี้หนูก็เกิดป่วยแบบไปโรงเรียนไม่ได้เป็นอาทิตย์ จนเพื่อนถามวว่าเป็นอะไรมากรึเปล่า ไอเราไม่กล้าบอก เพราะไอโรตที่เราเป็นนะ มันไม่ใช่โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสเลย หนูปวดแขยข้างขวาจนยกแขนไม่ขึ้น ไม่ขึ้นจริงๆ พูดความจนิง ปวดมาก นอนแบบหันไปทับข้างขวาไม่ได้เลย แม่ก็ไม่พาไปหาหมอหลวงหรอก แต่พาไปหาหมอนวดที่มีองค์แทน พอพาไปองค์ก็ลง เค้าบอกว่าที่เป็นแบบนี้เพราะเราเวลาเรานั่งเราอะไร ทำท่าไม่สุภาพ ไม่เคารพ คนที่นั่นเขาไม่ชอบ ก็เลยโดนเข้า บวกกับเราเครียดเลยดวงตกเลยมีอะไรแฝง เข้าให้เอาของไปไหว้ทางสี่แพ่ง และให้ไปขอขมาเจ้าที่ที่บ้าน หลังจากนั้น2วันก็เริ่มยกแขนได้จากที่เดี้ยงมาเป็นอาทิตย์
จริงๆมีเหตุการณ์มากมายที่เกิดที่นั่น แต่เอาแค่นี้หล่ะค่ะ เล่าเองกลัวเองแล้วเนี่ย
แค่เป็นผลพลอยได้ ได้เจอเรื่องน่าตื่นเต้นมากมาย ไม่ว่าไปที่ไหนก็จะเจอตลอด มาเข้าเรื่องกันดีกว่าค่ะ มีช่วงหนึ่งกำลังสร้างบ้านใหม่เลยต้องย้ายไปอยุ่บ้านเช่า ซึ่งถูกปล่อยล้างมานานและเจ้าของบ้านคนเก่าตายไปแล้ว ลูกหลานเลยปล่อยให้เช่า วันแรกที่ย้ายของเข้าไปในบ้านก็เริ่มสังหรณ์ไม่ดี น้องชายเลือกกำเดาไหลไม่หยุด ทำยังไงก็ไม่หาย แต่พอออกจากบ้านเช่านั้นมาก็หยุดไหลอย่างง่ายดาย ตอนนั้นหนูก็เริ่มกลัวและเพราะเป็นคนคิดมาก ก็เลยคิดว่าเราน่าจะย้ายสิ่งศักดิ์สิทธ์ไปก่อน และเราค่อยเข้าไปอยู่ ที่บ้านนับถือพระพิฆเนศ เราก็ย้ายท่านเข้าไปก่อน และให้คนงานไปนอนเฝ้าของก่อนที่จะย้ายเข้าไปจริงๆ พอวันรุ่งขึ้นมาตรวจบ้านคนงานก็รีบวิ่งมาหาและบอกว่าเมื่อคืนได้ยินเสียงช้างฟาดงวง ผมกลัวมาก
ขอให้คนอื่นมาเฝ้าแทนเถอะ หนูฟังก็ขนลุก เราก็เลยให้คนงานที่ไม่ได้ทำงานประจำ เป็นคนที่เช้าเย็นกลับมาเฝ้าแทน ซึ่งเขาก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ ก็ผ่านพ้นไปไม่มีอะไร ทุกคนคิดว่าท่านพระพิฆเนศคงมาตรวจดูบ้าน พอเริ่มเข้ามาอยู่แรกๆก็ไม่มีอะไร แต่พอนานเข้า ห้องอาบน้ำชั้นสอง อยู่ดีๆก็มีหนอน ที่เป็นหนอนไชศพตกลงมาเต็มไปหมด เหม็นมากด้วย แม่คิดว่าหนูตาย เลยให้คนปีนไปดูปรากฏว่าก็ไม่มีอะไร เราก็เอาละ แต่ไม่มีหนทางอื่นจะย้ายก็ไม่ได้เลยทำความสะอาดหนอนออกและอยู่ต่อ (ยังจะทนเนอะ) มีคืนหนึ่งหนูนอนดึกมาก เพราะเล่นคอม และช่วงนั้นเรากำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่นประมานมัธยมต้น เลยทะเลาะกับแม่รุนแรงบ่อย ทุกครั้งแม่ก็จะไปร้องไห้และก็ไหว้พระ คืนนั้น แม่เรียกให้ไปนอนเราก็นั่งเล่นเกมส์ไม่สนใจ จนทุกคนหลับ(หลับรวมห้องเดียวเพราะบ้านค่อนข้างเล็ก) พอเริ่มตี 2 เราก็ได้ยินเสียงเป็นเสียงนิ่งๆ ไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงหญิงหรือชาย แต่เสียงนิ่งาก บอกว่า "มานอนได้แล้วลูก มานอน" เราก็นึกว่าแม่พูด แต่พอหันไป แม่หลับปุ๋ยเชียว หนูก็เลยกดปิดสวิตไม่ชัดดาวน์ด้วยและวิ่งเข้าไปหาแม่ แม่ก็ตกใจ
ทุกคนตื่นหมด และแม่ก็ถามว่า "ลงไปทำอะไรมา" เราก็งงแม่พูดต่อ "กลิ่นบุหรี่เต็มตัวเลย" เราก็อึ้ง หนูไม่สูบบุหรี่และก็เล่นคอมบนห้องตลอด ไม่ได้ไปไหน เหตุการณ์นั้นทำให้ไม่กล้าเล่นคอมกลางดึกเลยอยู่นานๆเข้าที่บ้านหลังนี้หนูก็เกิดป่วยแบบไปโรงเรียนไม่ได้เป็นอาทิตย์ จนเพื่อนถามวว่าเป็นอะไรมากรึเปล่า ไอเราไม่กล้าบอก เพราะไอโรตที่เราเป็นนะ มันไม่ใช่โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสเลย หนูปวดแขยข้างขวาจนยกแขนไม่ขึ้น ไม่ขึ้นจริงๆ พูดความจนิง ปวดมาก นอนแบบหันไปทับข้างขวาไม่ได้เลย แม่ก็ไม่พาไปหาหมอหลวงหรอก แต่พาไปหาหมอนวดที่มีองค์แทน พอพาไปองค์ก็ลง เค้าบอกว่าที่เป็นแบบนี้เพราะเราเวลาเรานั่งเราอะไร ทำท่าไม่สุภาพ ไม่เคารพ คนที่นั่นเขาไม่ชอบ ก็เลยโดนเข้า บวกกับเราเครียดเลยดวงตกเลยมีอะไรแฝง เข้าให้เอาของไปไหว้ทางสี่แพ่ง และให้ไปขอขมาเจ้าที่ที่บ้าน หลังจากนั้น2วันก็เริ่มยกแขนได้จากที่เดี้ยงมาเป็นอาทิตย์
จริงๆมีเหตุการณ์มากมายที่เกิดที่นั่น แต่เอาแค่นี้หล่ะค่ะ เล่าเองกลัวเองแล้วเนี่ย
เหตุการณ์ที่เจอมาตลอด 6 เดือน
สวัสดี พี่ป๋อง ทีมงานทุกๆท่าน ผมติดตามรายการมาตั้งแต่ 8 ขวบ ตอนนี่18 แล้วครับ ขอบอกก่อนว่า
ผมเป็นคนเกิดวัน พุธ กลางคืน เกิดวันที่ 19 เวลา 19.09น. ปี1990 หรือปี 2533 เื่รื่องที่จะเล่านี้เหตุเกิดอยู่ที่ อาร์พาตเม้นแห่งหนึ่ง ในซอย จรัญ57 ผมได้มาอยู่ที่นี่มาประมาณ ปีกว่าๆ ตอนแรกผมอยู่ชั้น2 มี แม่แฟน น้องแฟน และผม ต่อมา6 เดือนผมก็ได้ย้ายขึ้นมาชั้น5 ก็แปลกๆ เพราะย้ายขึ้นมาอยู่แรกๆ จนถึงทุกวันนี้ ผมทะเลาะกะแฟนทุกวัน และผมจะกระโดดตึกลงไปหลายครั้งมาก หลังๆผมอยู่ห้องคนเดียว ผมจะอยู่ห้องตอนเที่ยงคืน ถึงเช้า ผมก็นั้งเล่นคอมของผมอยู่ทุกวัน แต่ที่แปลกเจอประจำก็คือ มีคนดึงประตู ปิดลูกบิด เกือบทุกวัน ผมก็หยิบดาบซามูลัย เปิดออกไป
เวลาไม่นาน ไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้า บางทีผมก็เปิดประตูไว้ แล้วก็นั่งเล่นคอมปรกติ ผมก็เห็นคนมายืนหน้าประตู เป็นผู้หญิงร่างเล็ก แต่ที่เห็นเป็นภาพขาวดำ พอหันกลับไปดูกลับไม่เจอ บางทีของในห้องก็หล่นลงมาแบบไม่มีสาเหตุ บางที่ก็มายืนข้างหลังแต่เป้นความรู้สึก แต่ที่จะๆก็คือ ช่วงหลังๆผมเดินลงกระไดชั้น5 เป็นทางหนีไฟ ตอนนั้นเป็นเวลา ตี3 จะออกไปซื้อของเซเว่น ขณะที่เดินลงมา ความรู้ศึก้หมือนไม่ได้เดินอยู่คนเดียว ขนหัวลุกตลอดเวลา กระไดหนีไฟจะมีหน้าต่างข้างๆทุกชั้นนะครับ ผมก็มองทุกชั้น พอมาถึงชั้น3 มีเสียงพูดข้างๆหูว่า มองอะไรจ๊ะ เท่านั้นแหละผมวิ่งลงเลย และต่อมาผมก็ไม่ขึ้นห้องเลย ก็นั่งคุยกะยามยันเช้าทุกวัน วันที่ผมคุยกะยามก็เจอครับ ขณะนั้นเวลา ตี2 นั่งคุยกันเรื่อยๆ ผมก็สังเกตุยามมีอาการแปลกๆ มองหลังตลอดเวลา โต๊ะที่ยามนั้งจะหันหลังให้กำแพง และข้างๆจะเป็นประตูกระจก ที่จะขึ้นตึก ผมก็คุยไปคุยมา ผมก็เห็นเงามายืนข้างในประตู และขณะนั้นยามก็หันหลังไปดู
สิ่งที่ผมเห็นนั้นคือเงาวิ่ง เข้าไปทางประตุหนีไฟ และจากนั้นไม่นานมีเสียงเคาะประตูเหล็ก ประตูหนีไฟอะครับ ดังตึงๆ 2ที เท่านั้นแหละ รีบวิ่งไปดูว่าใครมาแกล้ง แต่ถ้ามีคนแกล้ง เวลาลงกระไดเสียงมันต้องก้องมากๆ เช้ามาผมก็ทำบุญแระก็ไม่เจออะไรอีก แต่มีเด็ดกว่านั้นคือ แฟนผมไปหาร่างทรง เแฟนผมก็บอกว่า ผมเจอผีบ่อยๆ ทรงก็นั่งดูให้ เค้าก็ถามว่าห้อง ถัดจากห้องแรกไปกี่ห้อง แปลกตรงที่ว่าเค้ารู้ด้วยว่าห้องเลขอะไร เตียงวางยังไง พระวางที่ไหน แระเค้าบอกแฟนผมว่า ชั้น5 ไม่ดี มันวังเวง มันก็จริงๆแบบที่เค้าว่า แต่เค้าบอกอีกว่า ที่เราเจอคือ คนที่ตายในลิบ และเค้ารู้ด้วยว่าที่ผมเจอเป็นผู้หญิงสาว
ผมเป็นคนเกิดวัน พุธ กลางคืน เกิดวันที่ 19 เวลา 19.09น. ปี1990 หรือปี 2533 เื่รื่องที่จะเล่านี้เหตุเกิดอยู่ที่ อาร์พาตเม้นแห่งหนึ่ง ในซอย จรัญ57 ผมได้มาอยู่ที่นี่มาประมาณ ปีกว่าๆ ตอนแรกผมอยู่ชั้น2 มี แม่แฟน น้องแฟน และผม ต่อมา6 เดือนผมก็ได้ย้ายขึ้นมาชั้น5 ก็แปลกๆ เพราะย้ายขึ้นมาอยู่แรกๆ จนถึงทุกวันนี้ ผมทะเลาะกะแฟนทุกวัน และผมจะกระโดดตึกลงไปหลายครั้งมาก หลังๆผมอยู่ห้องคนเดียว ผมจะอยู่ห้องตอนเที่ยงคืน ถึงเช้า ผมก็นั้งเล่นคอมของผมอยู่ทุกวัน แต่ที่แปลกเจอประจำก็คือ มีคนดึงประตู ปิดลูกบิด เกือบทุกวัน ผมก็หยิบดาบซามูลัย เปิดออกไป
เวลาไม่นาน ไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้า บางทีผมก็เปิดประตูไว้ แล้วก็นั่งเล่นคอมปรกติ ผมก็เห็นคนมายืนหน้าประตู เป็นผู้หญิงร่างเล็ก แต่ที่เห็นเป็นภาพขาวดำ พอหันกลับไปดูกลับไม่เจอ บางทีของในห้องก็หล่นลงมาแบบไม่มีสาเหตุ บางที่ก็มายืนข้างหลังแต่เป้นความรู้สึก แต่ที่จะๆก็คือ ช่วงหลังๆผมเดินลงกระไดชั้น5 เป็นทางหนีไฟ ตอนนั้นเป็นเวลา ตี3 จะออกไปซื้อของเซเว่น ขณะที่เดินลงมา ความรู้ศึก้หมือนไม่ได้เดินอยู่คนเดียว ขนหัวลุกตลอดเวลา กระไดหนีไฟจะมีหน้าต่างข้างๆทุกชั้นนะครับ ผมก็มองทุกชั้น พอมาถึงชั้น3 มีเสียงพูดข้างๆหูว่า มองอะไรจ๊ะ เท่านั้นแหละผมวิ่งลงเลย และต่อมาผมก็ไม่ขึ้นห้องเลย ก็นั่งคุยกะยามยันเช้าทุกวัน วันที่ผมคุยกะยามก็เจอครับ ขณะนั้นเวลา ตี2 นั่งคุยกันเรื่อยๆ ผมก็สังเกตุยามมีอาการแปลกๆ มองหลังตลอดเวลา โต๊ะที่ยามนั้งจะหันหลังให้กำแพง และข้างๆจะเป็นประตูกระจก ที่จะขึ้นตึก ผมก็คุยไปคุยมา ผมก็เห็นเงามายืนข้างในประตู และขณะนั้นยามก็หันหลังไปดู
สิ่งที่ผมเห็นนั้นคือเงาวิ่ง เข้าไปทางประตุหนีไฟ และจากนั้นไม่นานมีเสียงเคาะประตูเหล็ก ประตูหนีไฟอะครับ ดังตึงๆ 2ที เท่านั้นแหละ รีบวิ่งไปดูว่าใครมาแกล้ง แต่ถ้ามีคนแกล้ง เวลาลงกระไดเสียงมันต้องก้องมากๆ เช้ามาผมก็ทำบุญแระก็ไม่เจออะไรอีก แต่มีเด็ดกว่านั้นคือ แฟนผมไปหาร่างทรง เแฟนผมก็บอกว่า ผมเจอผีบ่อยๆ ทรงก็นั่งดูให้ เค้าก็ถามว่าห้อง ถัดจากห้องแรกไปกี่ห้อง แปลกตรงที่ว่าเค้ารู้ด้วยว่าห้องเลขอะไร เตียงวางยังไง พระวางที่ไหน แระเค้าบอกแฟนผมว่า ชั้น5 ไม่ดี มันวังเวง มันก็จริงๆแบบที่เค้าว่า แต่เค้าบอกอีกว่า ที่เราเจอคือ คนที่ตายในลิบ และเค้ารู้ด้วยว่าที่ผมเจอเป็นผู้หญิงสาว
ผีเข้าสิงแม่
วันนั้นเป็นวันศุกร์ค่ะ ครอบครวเรานั้นมีสมาชิกอยู่3คนรวมดิฉันด้วยน่ะคะ
เราจะมีทีวีในห้องนอนอยู่หนึ่งเครื่องค่ะแล้วเราจะนอนรวมกัน3คน พ่อก็เปิดตลกดูวันนั้นแม่หนูเค้าไม่ค่อยสบายเลยนอนซม ตลกมันก็ขำไปขำมาแม่หนูก็นอนเหม่อๆค่ะ อยู่ๆแม่ก็ตัวเกร็งแล้วกระเด่งขึ้นมาจากที่นอนเลยค่ะ ตกใจมากค่ะหนูกระโดดโหยงไปกอดพ่อเลย แม่ก็ชี้หน้าว่าพ่อเป็นภาษาลาว แล้วทีนี้พ่อก็กล่อมให้แม่นอน หนูก็นอนเช่นกันค่ะแม่หนูเค้าจะนอนข้างๆเตียงแต่หนูนอนบนเตียงพ่อเค้าก็เดินไปดื่มกาแฟ
หนูนอนหันหน้าไปหาแม่คะแต่แมนอนหันหลังให้หนูค่ะซักพักแม่ก็หันมายิ้มให้หนูแต่แววตาแม่ไม่อ่อนโยนเหมือนคนยิ้มให้กันค่ะคือยิ้มแล้วตาโตๆค่ะ แล้วสิ่งที่หนูสังเกตคือแม่หนูมีระหว่างหน้าผากคล้ำ และขอบตาคล้ำมากค่ะ หนูร้องลั่น แต่ขาหนักไปหมดพ่อรีบวิ่งมาอุ้มนกไปที่อื่น ....
เราจะมีทีวีในห้องนอนอยู่หนึ่งเครื่องค่ะแล้วเราจะนอนรวมกัน3คน พ่อก็เปิดตลกดูวันนั้นแม่หนูเค้าไม่ค่อยสบายเลยนอนซม ตลกมันก็ขำไปขำมาแม่หนูก็นอนเหม่อๆค่ะ อยู่ๆแม่ก็ตัวเกร็งแล้วกระเด่งขึ้นมาจากที่นอนเลยค่ะ ตกใจมากค่ะหนูกระโดดโหยงไปกอดพ่อเลย แม่ก็ชี้หน้าว่าพ่อเป็นภาษาลาว แล้วทีนี้พ่อก็กล่อมให้แม่นอน หนูก็นอนเช่นกันค่ะแม่หนูเค้าจะนอนข้างๆเตียงแต่หนูนอนบนเตียงพ่อเค้าก็เดินไปดื่มกาแฟ
หนูนอนหันหน้าไปหาแม่คะแต่แมนอนหันหลังให้หนูค่ะซักพักแม่ก็หันมายิ้มให้หนูแต่แววตาแม่ไม่อ่อนโยนเหมือนคนยิ้มให้กันค่ะคือยิ้มแล้วตาโตๆค่ะ แล้วสิ่งที่หนูสังเกตคือแม่หนูมีระหว่างหน้าผากคล้ำ และขอบตาคล้ำมากค่ะ หนูร้องลั่น แต่ขาหนักไปหมดพ่อรีบวิ่งมาอุ้มนกไปที่อื่น ....
แจ๊คพ็อตตอนเข้าค่าย
หวัดดีคับพี่ป๋อง ผมติดตามฟัง THE SHOCKมาได้10กว่าปีแล้วคับ เรียกได้ว่าเป็นแฟนตัวยงเลยก็ว่าได้ผมขอเข้าเรื่องเลยนะคับ เรื่องนี้เป็นเมื่อสมัยตอนผมอยู่ม.4คับ เรื่องก็คือ ผมเรียนอยู่ร.ร.สายปัญญารังสิต (ต้องขออนุญาติบอกชื่อนะคับไว้เป็นอุทาหรณ์ เพราะรุ่นน้องผมก็ชอบดูแลฟังเรื่องพวกนี้คับ) ผมเรียน ร.ด.ปี1ซึ่งเป็นปีแรกที่เรียน ตอนนั้นเป็นช่วงเข้าค่ายลูกเสือคับ พวกผมกับรุ่นพี่ปี3ได้ถูกเลือกให้ไปดูแลเด็กๆคับ
พวกผมไปเข้าค่ายร่วมกับพวกเด็กๆเป็นเวลา3วัน2คืนซึ่งตอนที่ไปถึงผมรู้สึกแปลกๆคับ(รู้สึกคนเดียว)เพราะมันเป็นช่วงเที่ยงๆเองแต่บรรยากาศมันครึ้มๆคับแล้วรู้สึกเหมือนมีใครมองอยู่ แต่ก็ไม่มีใครมองคับ จนกระทั่งเก็บของเข้าที่เสร็จทำพิธีเปิดเรียบร้อยแล้วผมก็รู้สึกเหมือนถูกจ้องอีกแล้วคับ แต่ก็ไม่ได้สนใจจนถึงตอนกลางคืนคับ พวกผมกับรุ่นพี่ปี3ต้องไปเตรียมฐานผจญภัยซึ่งพวกรุ่นพี่ให้พวกผมเด็กปี1ที่มีแค่2คนไปคอยนำทางเด็กๆถึงฐานที่1แล้วค่อยกลับไปประจำจุดคับ(พวกผมอยู่ฐานที่11คับมีทั้งหมด12ฐาน) ตอนแรกผมก็อยู่กับเพื่อนแต่เพื่อนผมขอตัวไปห้องน้ำคับ เลยต้องอยู่คนเดียว จู่ๆผมก็รู้สึกเสียวสันหลังคับ เลยหันไปมองก็ไม่มีใครแต่แล้วก็มีหยดน้ำจากไหนก็ไม่รู้คับหยดลงมาที่ต้นคอผม ผมก็เลยแหงนหน้าขึ้นไปดูก็ไม่มีอะไรคับจนเพื่อนผมกลับมาผมก็ยังไม่ได้เล่าให้ฟังจนเด็กๆผจญภัยเสร็จแล้ว พวกผมก็กลับที่พักเพื่อจะคอยผลัดเวรตรวจดูพวกเด็กให้เรียบร้อย ผมจึงเล่าเรื่องที่ผมเจอให้ฟัง พวกรุ่นพี่ก็บอกว่าผมอาจจะคิดมากไปคับ แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่เพราะมันไม่มีทางที่จะมีน้ำหยดลงมาได้คับเพราผมยืนที่โล่งแถมท้องฟ้าก็โปร่งไม่มีทีท่าของฝนเลย
จนถึงวันที่2ตอนสายๆพวกผมต้องเดินทางไกลกับพวกเด็กๆคับ ต้องผ่านแถวถนนเชิงเขที่ผ่านน้ำตกคับ ก็มีรถยนต์คันหนึ่งขับมาแซวเล่นๆกัน แล้วเขาบอกว่าด้านหลังมีเด็กลูกเสืออีกคนเดินอยู่ไม่รอเขาเหรอ ซึ่งทำให้ผมแปลกใจมากคับ เพราะพวกผมมาเป็นกลุ่มสุดท้ายไม่มีทางที่จะมีทางที่จะมีเด็กหลงเหลืออยู่แน่ๆจนถึงตอนกลางคืนผมกับเพื่อนเป็นเวรที่ต้องผลัดกันไปดูแลว่าเด็กนอนกันเรียบร้อยรึยัง ก็เลยไปดูปรากฏว่าเงียบนอนกันหมดเลยคับผมก็เลยเดินกลับขณที่เดินกลับผมเจอเด็กคับ อายุน่าจะประมาณ7-8ขวบได้กำลังวิ่งเล่นอยู่ตรงสนามด้านหน้าคับผมเลยเข้าไปถามเขาก็เงียบเหมือนไม่สนใจผม จนผมขี้เกียจจะถามคับก็เลยเดินกลับเข้าที่พัก ผมเลยเผลอบ่นให้พวกพี่ๆเขาฟังเขาก็เงียบจนกระทั่งวันสุดท้ายกำลังเตรียมของเพื่อที่จะกลับบ้านกัน ตอนอยู่บนรถคับ รุ่นพี่ผมกับเพื่อนผมถึงได้บอกว่าผมเจอดีเข้าให้คับ 3ครั้งเลยคืออันที่1ที่หยดน้ำหยดใส่ต้นคอคับเพื่อนผมเขาบอกว่าเห็นเหมือนเป็นเงาดำๆสูงๆยืนอยู่ด้านหล้งผมส่วนอันที่2รุ่นพี่ผมเขาบอกว่าตอนเขาเรียนลูกเสือตอนรุ่นพี่ผมเขาอยู่ม.2 เคยมีนักเรียนลูกเสือของค่ายอื่นลื่นตกน้ำตกเสียชีวิตคับ เขาบอกว่าอาจเป็นเพราะวิญญาณยึดติดเลยไม่ได้ไปสู่สุขคติส่วนอันที่3รุ่นพี่ผมเขาบอกว่าเป็นวิญญาณที่เพื่อนรุ่นพี่ที่ไปเข้าค่ายด้วยกันเลี้ยงไว้เขาเห็นว่าคืนนี้ไม่มีใครเลยปล่อยออกมาคับ พอได้ยินแบบนั้นเล่นเอาผมใบ้กินไปเลยคับจนกลับถึงบ้านผมก็เลยไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้พวกเขาคับ จะได้ไม่ซวยอีกป.ล.ตอนเช้าวันที่3พวกรุ่นพี่ผมเข้าได้ไปช่วยคนถูกผีเข้าคับเพราะรุ่นพี่เขาปล่อยแล้วจะเอากลับแต่เขาไม่ยอมคับเลยสิงคนแถวนั้นบอกว่าอยากได้ของเล่นอยากกินขนมเขาเลยบอกว่ากลับบ้านแล้วเขาจะซื้อให้คับ เลยยอมออก ตอนนั้นผมก็ไปช่วยเขาด้วยเรื่องที่เล่ามาเป็นเรื่องจริงคับ ผมเจอมากับตัวเองเลยถ้าใครไม่เชื่อก็ลองไปพิสูจน์ได้คับ ที่สระบุรี เหอ เหอ เหอ เหอ เหอ เหอ
พวกผมไปเข้าค่ายร่วมกับพวกเด็กๆเป็นเวลา3วัน2คืนซึ่งตอนที่ไปถึงผมรู้สึกแปลกๆคับ(รู้สึกคนเดียว)เพราะมันเป็นช่วงเที่ยงๆเองแต่บรรยากาศมันครึ้มๆคับแล้วรู้สึกเหมือนมีใครมองอยู่ แต่ก็ไม่มีใครมองคับ จนกระทั่งเก็บของเข้าที่เสร็จทำพิธีเปิดเรียบร้อยแล้วผมก็รู้สึกเหมือนถูกจ้องอีกแล้วคับ แต่ก็ไม่ได้สนใจจนถึงตอนกลางคืนคับ พวกผมกับรุ่นพี่ปี3ต้องไปเตรียมฐานผจญภัยซึ่งพวกรุ่นพี่ให้พวกผมเด็กปี1ที่มีแค่2คนไปคอยนำทางเด็กๆถึงฐานที่1แล้วค่อยกลับไปประจำจุดคับ(พวกผมอยู่ฐานที่11คับมีทั้งหมด12ฐาน) ตอนแรกผมก็อยู่กับเพื่อนแต่เพื่อนผมขอตัวไปห้องน้ำคับ เลยต้องอยู่คนเดียว จู่ๆผมก็รู้สึกเสียวสันหลังคับ เลยหันไปมองก็ไม่มีใครแต่แล้วก็มีหยดน้ำจากไหนก็ไม่รู้คับหยดลงมาที่ต้นคอผม ผมก็เลยแหงนหน้าขึ้นไปดูก็ไม่มีอะไรคับจนเพื่อนผมกลับมาผมก็ยังไม่ได้เล่าให้ฟังจนเด็กๆผจญภัยเสร็จแล้ว พวกผมก็กลับที่พักเพื่อจะคอยผลัดเวรตรวจดูพวกเด็กให้เรียบร้อย ผมจึงเล่าเรื่องที่ผมเจอให้ฟัง พวกรุ่นพี่ก็บอกว่าผมอาจจะคิดมากไปคับ แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่เพราะมันไม่มีทางที่จะมีน้ำหยดลงมาได้คับเพราผมยืนที่โล่งแถมท้องฟ้าก็โปร่งไม่มีทีท่าของฝนเลย
จนถึงวันที่2ตอนสายๆพวกผมต้องเดินทางไกลกับพวกเด็กๆคับ ต้องผ่านแถวถนนเชิงเขที่ผ่านน้ำตกคับ ก็มีรถยนต์คันหนึ่งขับมาแซวเล่นๆกัน แล้วเขาบอกว่าด้านหลังมีเด็กลูกเสืออีกคนเดินอยู่ไม่รอเขาเหรอ ซึ่งทำให้ผมแปลกใจมากคับ เพราะพวกผมมาเป็นกลุ่มสุดท้ายไม่มีทางที่จะมีทางที่จะมีเด็กหลงเหลืออยู่แน่ๆจนถึงตอนกลางคืนผมกับเพื่อนเป็นเวรที่ต้องผลัดกันไปดูแลว่าเด็กนอนกันเรียบร้อยรึยัง ก็เลยไปดูปรากฏว่าเงียบนอนกันหมดเลยคับผมก็เลยเดินกลับขณที่เดินกลับผมเจอเด็กคับ อายุน่าจะประมาณ7-8ขวบได้กำลังวิ่งเล่นอยู่ตรงสนามด้านหน้าคับผมเลยเข้าไปถามเขาก็เงียบเหมือนไม่สนใจผม จนผมขี้เกียจจะถามคับก็เลยเดินกลับเข้าที่พัก ผมเลยเผลอบ่นให้พวกพี่ๆเขาฟังเขาก็เงียบจนกระทั่งวันสุดท้ายกำลังเตรียมของเพื่อที่จะกลับบ้านกัน ตอนอยู่บนรถคับ รุ่นพี่ผมกับเพื่อนผมถึงได้บอกว่าผมเจอดีเข้าให้คับ 3ครั้งเลยคืออันที่1ที่หยดน้ำหยดใส่ต้นคอคับเพื่อนผมเขาบอกว่าเห็นเหมือนเป็นเงาดำๆสูงๆยืนอยู่ด้านหล้งผมส่วนอันที่2รุ่นพี่ผมเขาบอกว่าตอนเขาเรียนลูกเสือตอนรุ่นพี่ผมเขาอยู่ม.2 เคยมีนักเรียนลูกเสือของค่ายอื่นลื่นตกน้ำตกเสียชีวิตคับ เขาบอกว่าอาจเป็นเพราะวิญญาณยึดติดเลยไม่ได้ไปสู่สุขคติส่วนอันที่3รุ่นพี่ผมเขาบอกว่าเป็นวิญญาณที่เพื่อนรุ่นพี่ที่ไปเข้าค่ายด้วยกันเลี้ยงไว้เขาเห็นว่าคืนนี้ไม่มีใครเลยปล่อยออกมาคับ พอได้ยินแบบนั้นเล่นเอาผมใบ้กินไปเลยคับจนกลับถึงบ้านผมก็เลยไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้พวกเขาคับ จะได้ไม่ซวยอีกป.ล.ตอนเช้าวันที่3พวกรุ่นพี่ผมเข้าได้ไปช่วยคนถูกผีเข้าคับเพราะรุ่นพี่เขาปล่อยแล้วจะเอากลับแต่เขาไม่ยอมคับเลยสิงคนแถวนั้นบอกว่าอยากได้ของเล่นอยากกินขนมเขาเลยบอกว่ากลับบ้านแล้วเขาจะซื้อให้คับ เลยยอมออก ตอนนั้นผมก็ไปช่วยเขาด้วยเรื่องที่เล่ามาเป็นเรื่องจริงคับ ผมเจอมากับตัวเองเลยถ้าใครไม่เชื่อก็ลองไปพิสูจน์ได้คับ ที่สระบุรี เหอ เหอ เหอ เหอ เหอ เหอ
เหตุเกิดที่ห้องกลาง
เมื่อพูดถึงคำว่าโรงเรียนหรือมหาลัยก็เป็นเรื่องที่แน่นอนว่าต้องมีอำนานทุกที่ ส่วนเรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี่มันเป็นเรื่อมงที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ตอนนั้นผมเพิ่งเข้ามหาลัย เป็นมหาลัยหนึ่งที่จังหวัดพะเยาบอกแค่นี้ก็คงรู้แล้วล่ะคับว่าที่ไหนเรื่องมีอยู่ว่า เมื่อเข้าปีหนึ่งก็เป็นเรื่องบังคับว่าต้องอยู่หอในซึ่งปีนั้นเป็นปีที่สนุกมากเพราะเพิ่งได้เจอเพื่อนใหม่ๆแล้วก็ได้นอนดึกสมใจ ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงใกล้สอบพอดื
งานที่เหลือว่าก็ต้องรีบส่ง เพื่อให้รอดพ้นจากคำที่ว่า เอฟ ซึ่งวันนั้นเพื่อนผมประมาณ สี่ห้าคนก็มาทำงานที่ห้องของผม โดยห้องนั้นจะเรียงกันยาวเหมือนห้องแถว ห้องผมอยู่เกือบสุดทางเดินซึ่งหอนั้นจะแบ่งเป็นสองด้าน โดยที่มีห้องตรงกลางซึ่งเป็นห้องว่างๆสำหรับรีดผ้า ซักผ้าและให้ยามที่มาเฝ้าหอพักผ่อน แต่โดยปกติแล้วหอของผมจะเป็นหอที่ยามไม่ค่อยจะมาดูอยู่แล้วเพราะขึ้นชื่อว่า หอปากหมา เนื่องจากชอบแซวคนที่เดินผ่านไปมาทำให้ตอนกลางคืนหอนี้จะดูวังเวงเป็นพิเศษวันนั้นขณะทีร่กำลังทำงาน อยู่ๆก็รู้สึกหิวทั้งๆที่ปกติ ผมจะไม่เคยที่จะหิวหลังสามทุ่ม แต่วันนั้นมันประมาณตีสามแล้วก็เลยเดินไปต้มมาม่า กินที่ห้องกลาง จณะที่เดินไปนั้นผมก็สังเกตเห้นว่า ไม่มีสัตว์หรือแมลงอะไรเลย อีกทั้งอากาศก็เย็นยะเยือกผิดปกติ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร พอไปถึงหน้าห้องก็กดน้ำร้อนโดนที่ตาก็มองเข้าไปในห้อง แต่สิ่วงที่ผมเห็นคือ ผู้หญิง ชุดขาวนวลเป็นชุดนอน ก็คิดอยู่ เหมือนกันคับ ว่าทำไมมานั่งดึกๆดื่นๆแต่ก็ไม่ได้คิดอะไร ก็เดินกลับห้องขณะที่เดินใกล้ถึงห้องก็คิดได้ว่า หอที่ผมอยู่เป็นหอชายผู้หญิงไม่สามรถเข้ามาได้ก็เลยบอกเพื่อนว่า เฮ้ย
เมื่อกี้กูเห็นผู้หญิงที่ห้องกลางว่ะ เพื่อนผมก็ไม่เชื่อ ก็เลยเดินไปดูกันแบบเกาะกลุ่ม เนื่องจากคิดว่าจะใช่สิ่งที่คิดอยู่ พอไปถึงก็ไม่มีคับ แต่พอหันหลังกำลังจะกลับห้องเท่านั้นแหละคับ หัวแทบโก๋น ก็เพทราะผู้หญิงคนนั้นไปนั่งอยู่บนหลังคาอีกหอนึง แล้วมองมากทางพวกผม รู้ทันทีเลยคับว่าใช่แน่ๆก็เพราะ หอที่เธอนั่งนั่น มันอยู่สูงจากพื้นมาก และไม่ทีทางขึ้น แต่เธอกลับนั่งแบบสบายๆ ขณะที่กำลังจะสาวเท้าออกมาจากห้องกลาง หูก็ได้ยินเสียงเธอมทากระซิบแบบติดหูเลยคับ ได้ยินเหมือนกันทุกคนว่า พวกมึงอยากลองของกับกูใช่ไม๊เท่านั้นแฟละคับ ว่าแบบไม่คิดชีวิตกันเลยแล้วพอถึงห้อง ก็เหมือนสูตรสำเร็จทั่วๆไปก็คือ ตรงจุดไหนที่มีไฟ เปิดหมด แล้วก็มาเกาะกลุ่มสั่นกัน จนถึงเช้า โดยที่เห็นผู้หญิงคนนั้นมายืนดูอยู่ที่หน้าห้องทั้งคืน สลับกับเสียงหมาหอน โดยตาของเธอเป็นสีแดงก่ำ ผมยาวถึงหลัง หน้าซีดเผือด ที่ตาจมูก ปาก มีเลือดไหล พวกผมงี้ไข้ขึ้นกันทุกคนเลย
พอเช้าก็ไปถามยามที่สนิทๆกัน เค้าก็บอกว่าไม่รู้เรื่อง แต่มีรุ่นพี่คนนึง บอกว่า ตรงบริเวณหอที่พวกผมนั้น เป็นทางที่ผีผ่าน เนื่องจากมันเป็นห้องที่อยู่ตรงกับทางเดินด้านหลังพอดี ถ้ามองดูดีๆ ห้อใงผมจะเป็นห้องตรงกลางเลย โดยมองได้ว่าทางเดินด้านหลังตรงมาที่ห้องของผมก่อนเลย จากนั้นก็จะสามารถเลี้ยวซ้ายข้าวได้ ตรงประเด็นเลยคับว่า ห้องของผม ตรงกับทางสามแพร่ง พอวันต่อมา ผมก็เลยย้ายมาอยู่หอนอก ทันที แต่ก็ยังเจอเรื่องแบบนี้อยู่ เพราะผมเห็นเรื่องแบบนี้มีตั้งแต่เด็กแล้ว ผมก็ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวไม๊ เพราะผม เคยหยุดหายใจมาก่อนเพราะรถชนตอนประมาณเจ็ดขวบ จากนั้นก็เห็นมาตลอด ถ้ายังก็ก็ช้วยคอมเม้นบอกหน่อยนะคับว่าอ่านแล้วรู้สึกยังไงจะของพระคุณมากครับ
งานที่เหลือว่าก็ต้องรีบส่ง เพื่อให้รอดพ้นจากคำที่ว่า เอฟ ซึ่งวันนั้นเพื่อนผมประมาณ สี่ห้าคนก็มาทำงานที่ห้องของผม โดยห้องนั้นจะเรียงกันยาวเหมือนห้องแถว ห้องผมอยู่เกือบสุดทางเดินซึ่งหอนั้นจะแบ่งเป็นสองด้าน โดยที่มีห้องตรงกลางซึ่งเป็นห้องว่างๆสำหรับรีดผ้า ซักผ้าและให้ยามที่มาเฝ้าหอพักผ่อน แต่โดยปกติแล้วหอของผมจะเป็นหอที่ยามไม่ค่อยจะมาดูอยู่แล้วเพราะขึ้นชื่อว่า หอปากหมา เนื่องจากชอบแซวคนที่เดินผ่านไปมาทำให้ตอนกลางคืนหอนี้จะดูวังเวงเป็นพิเศษวันนั้นขณะทีร่กำลังทำงาน อยู่ๆก็รู้สึกหิวทั้งๆที่ปกติ ผมจะไม่เคยที่จะหิวหลังสามทุ่ม แต่วันนั้นมันประมาณตีสามแล้วก็เลยเดินไปต้มมาม่า กินที่ห้องกลาง จณะที่เดินไปนั้นผมก็สังเกตเห้นว่า ไม่มีสัตว์หรือแมลงอะไรเลย อีกทั้งอากาศก็เย็นยะเยือกผิดปกติ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร พอไปถึงหน้าห้องก็กดน้ำร้อนโดนที่ตาก็มองเข้าไปในห้อง แต่สิ่วงที่ผมเห็นคือ ผู้หญิง ชุดขาวนวลเป็นชุดนอน ก็คิดอยู่ เหมือนกันคับ ว่าทำไมมานั่งดึกๆดื่นๆแต่ก็ไม่ได้คิดอะไร ก็เดินกลับห้องขณะที่เดินใกล้ถึงห้องก็คิดได้ว่า หอที่ผมอยู่เป็นหอชายผู้หญิงไม่สามรถเข้ามาได้ก็เลยบอกเพื่อนว่า เฮ้ย
เมื่อกี้กูเห็นผู้หญิงที่ห้องกลางว่ะ เพื่อนผมก็ไม่เชื่อ ก็เลยเดินไปดูกันแบบเกาะกลุ่ม เนื่องจากคิดว่าจะใช่สิ่งที่คิดอยู่ พอไปถึงก็ไม่มีคับ แต่พอหันหลังกำลังจะกลับห้องเท่านั้นแหละคับ หัวแทบโก๋น ก็เพทราะผู้หญิงคนนั้นไปนั่งอยู่บนหลังคาอีกหอนึง แล้วมองมากทางพวกผม รู้ทันทีเลยคับว่าใช่แน่ๆก็เพราะ หอที่เธอนั่งนั่น มันอยู่สูงจากพื้นมาก และไม่ทีทางขึ้น แต่เธอกลับนั่งแบบสบายๆ ขณะที่กำลังจะสาวเท้าออกมาจากห้องกลาง หูก็ได้ยินเสียงเธอมทากระซิบแบบติดหูเลยคับ ได้ยินเหมือนกันทุกคนว่า พวกมึงอยากลองของกับกูใช่ไม๊เท่านั้นแฟละคับ ว่าแบบไม่คิดชีวิตกันเลยแล้วพอถึงห้อง ก็เหมือนสูตรสำเร็จทั่วๆไปก็คือ ตรงจุดไหนที่มีไฟ เปิดหมด แล้วก็มาเกาะกลุ่มสั่นกัน จนถึงเช้า โดยที่เห็นผู้หญิงคนนั้นมายืนดูอยู่ที่หน้าห้องทั้งคืน สลับกับเสียงหมาหอน โดยตาของเธอเป็นสีแดงก่ำ ผมยาวถึงหลัง หน้าซีดเผือด ที่ตาจมูก ปาก มีเลือดไหล พวกผมงี้ไข้ขึ้นกันทุกคนเลย
พอเช้าก็ไปถามยามที่สนิทๆกัน เค้าก็บอกว่าไม่รู้เรื่อง แต่มีรุ่นพี่คนนึง บอกว่า ตรงบริเวณหอที่พวกผมนั้น เป็นทางที่ผีผ่าน เนื่องจากมันเป็นห้องที่อยู่ตรงกับทางเดินด้านหลังพอดี ถ้ามองดูดีๆ ห้อใงผมจะเป็นห้องตรงกลางเลย โดยมองได้ว่าทางเดินด้านหลังตรงมาที่ห้องของผมก่อนเลย จากนั้นก็จะสามารถเลี้ยวซ้ายข้าวได้ ตรงประเด็นเลยคับว่า ห้องของผม ตรงกับทางสามแพร่ง พอวันต่อมา ผมก็เลยย้ายมาอยู่หอนอก ทันที แต่ก็ยังเจอเรื่องแบบนี้อยู่ เพราะผมเห็นเรื่องแบบนี้มีตั้งแต่เด็กแล้ว ผมก็ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวไม๊ เพราะผม เคยหยุดหายใจมาก่อนเพราะรถชนตอนประมาณเจ็ดขวบ จากนั้นก็เห็นมาตลอด ถ้ายังก็ก็ช้วยคอมเม้นบอกหน่อยนะคับว่าอ่านแล้วรู้สึกยังไงจะของพระคุณมากครับ
วงปี่พาทย์วัดเก่า
ผมเป็นเด็กคนหนึ่งที่อยู่ใน อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี ครับ แถวบ้านผมก็เป็นชนบทธรรมดา (แต่ไม่ธรรมดาครับ)
คือแถวบ้านผมจะมีทุ่งนาเต็มไปหมด แต่หนึ่งในนั้นก็เป็นทุ่งนาของอาผมเอง เขาเรียกว่าโคกระฆัง (วัดเก่า ครับ ) แต่ตอนนี้ไม่หลงเหลือร่องรอยของวัดอยู่แล้วแต่ที่ยังอยู่คือกลิ่นไอ แห่งความน่ากลัวครับ และแล้วประมาณปี 2540 พ่อของผมก็เจอดีเข้าจนได้ คือพ่อผมกลับจาก ไร่ ซึ่งต้องผ่านทุ่งนาโคกระฆังนี้ และมันบังเอิญหรืออะไรก็ไม่ทราบมันตรงกับวันพระพอดีครับ ประมาณซัก 1 ทุ่มมั้งครับ
พ่อผมก็ขับรถอีแต๋นผ่านมา คิดดูซิครับว่าเวลาประมาณนี้ คนแถวนั้นจะยังมีอยู่อีกหรอคับ พ่อผมก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะว่าผ่านทางนี้ทุกวัน และเมื่อเข้ามาถึงบริเวณทุ่งนาโคกระฆังแห่งนี้ พ่อผมก็ได้ยินเสียงแว่ว ๆ แต่เสียงนั้นไม่ต้องคิดนานครับ เพราะมันคือเสียงของปี่พาทย์วงใหญ่ ที่เล่นในงานวัดสมัยก่อน มันดังมากเลยครับ พ่อผมเล่าให้ฟังผมเลยต้องเก็บตัวอ่ะครับ ไม่ออกจากบ้านผ่านแถวนั้นไปอยู่หลายอาทิตย์เหมือนกันและนี่ก็เป็นประสบการณ์สยองที่พ่อของผมได้เล่าให้ฟัง แต่ยังไงถ้าเราทำดีซะอย่างผีก็คงไม่ทำอะไรเราหรอกครับ เต็มที่ก็แค่ขอส่วนกุศล แค่นี้ก่อนนะครับ
คือแถวบ้านผมจะมีทุ่งนาเต็มไปหมด แต่หนึ่งในนั้นก็เป็นทุ่งนาของอาผมเอง เขาเรียกว่าโคกระฆัง (วัดเก่า ครับ ) แต่ตอนนี้ไม่หลงเหลือร่องรอยของวัดอยู่แล้วแต่ที่ยังอยู่คือกลิ่นไอ แห่งความน่ากลัวครับ และแล้วประมาณปี 2540 พ่อของผมก็เจอดีเข้าจนได้ คือพ่อผมกลับจาก ไร่ ซึ่งต้องผ่านทุ่งนาโคกระฆังนี้ และมันบังเอิญหรืออะไรก็ไม่ทราบมันตรงกับวันพระพอดีครับ ประมาณซัก 1 ทุ่มมั้งครับ
พ่อผมก็ขับรถอีแต๋นผ่านมา คิดดูซิครับว่าเวลาประมาณนี้ คนแถวนั้นจะยังมีอยู่อีกหรอคับ พ่อผมก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะว่าผ่านทางนี้ทุกวัน และเมื่อเข้ามาถึงบริเวณทุ่งนาโคกระฆังแห่งนี้ พ่อผมก็ได้ยินเสียงแว่ว ๆ แต่เสียงนั้นไม่ต้องคิดนานครับ เพราะมันคือเสียงของปี่พาทย์วงใหญ่ ที่เล่นในงานวัดสมัยก่อน มันดังมากเลยครับ พ่อผมเล่าให้ฟังผมเลยต้องเก็บตัวอ่ะครับ ไม่ออกจากบ้านผ่านแถวนั้นไปอยู่หลายอาทิตย์เหมือนกันและนี่ก็เป็นประสบการณ์สยองที่พ่อของผมได้เล่าให้ฟัง แต่ยังไงถ้าเราทำดีซะอย่างผีก็คงไม่ทำอะไรเราหรอกครับ เต็มที่ก็แค่ขอส่วนกุศล แค่นี้ก่อนนะครับ
ผีกระสือ(ผีพราย)
นี่เป็นเรื่องที่พ่อผมเล่าให้ผมฟัง ตอนนี้พ่อผมยังเด็กนะครับ พ่อผมเป็นชาวจังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งสมัยตอนพ่อผมเป็นเด็กนั้นพูดได้ว่าหมู่บ้านยังเป็นป่าอยู่ส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ และถัดไปไม่กี่กิโล พ่อยังเล่าให้ฟังว่าเป็นหมู่บ้านร้างเนื่องจากโรคห่าลง(อหิวา)ซึ่งไม่มีใครกล้าเข้าไปเลยแถวนั้น เข้าเรื่องที่จะเล่าเลยนะครับ เนื่องจากพ่อผมนั้นไม่เชื่อเท่าไหร่ว่าผีมีจริง เพราะท่านได้บอกว่าสิ่งที่ท่านเจอนั้นท่านยังไม่สามารถระบุได้เลยว่าคืออะไร ตอนท่านเด็กนั้นฐานะทางบ้านคือยากจน การหาอาหารการกินนั้นจึงจะต้องออกไปหาตามทุ่งนาบ้าง น้ำบ้าง ตามประสาชาวบ้านนอกทั้วไป ซึ่งคืนวันหนึ่งนั้นเป็นวันที่ฝนตกหนักแต่ไม่ถึงกับฟ้าร้องฟ้าผ่ามากนัก พ่อผมท่านได้ออกไปล่ากบเขียดกับย่าผมและลุงข้างบ้านอีกคนหนึ่ง ซึ่งสมัยนั้นตะเกียงเจ้าพายุคือสิ่งที่ทุกคนใช้กันทั้งหมู่บ้าน พ่อผมก็ถือนำย่า และลุงไป การหากบเขียดนั้นส่วนใหญ่จะไปตามริมน้ำห้วย เลาะตามตลื่งไปเรื่อยๆ หรือตามเสียงกบร้องไปนั่นเอง วึ่งพ่อผมก็เดินนำและหาไปเรื่อยๆ พอดีไปถึงทุ่งนาที่หนึ่ง ซึ่งคันนาของชาวอีสานจะสูงมากและมีอยู่ช่วงหนึ่งพ่อผมปีนขึ้นคันนาไปก่อนท่านเลยได้เห็นดวงไฟดวงหนึ่งอยู่ตรงข้ามท่านไกลประมาณ 1 ช่วงนา และเนื่องจากฝนตกเเละเดือนมืดจึงมองเห็นแค่ดวงไฟแต่มองไม่เห็นคนถือ ท่านจึงตะโกนเรียกคนที่อยู่ตรงข้ามนั้น แต่ก็ไม่มีเสียงตอบมา พอดีย่ากับลุงของท่านปีนตามขึ้นมาพอดีจึงเอามืออุดปากพ่อผมไว้แล้วบอกให้เงียบ และดึงลงมาจากบนคันนาแล้วให้ลงมาข้างล่าง แล้วทั้ง 3 ท่านก็นั่งหมอบๆติดกันโดยตาทุกคู่มองที่ดวงไฟนั้น จากนั้นดวงไฟที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ลอยมาหาช้าๆ ซึ่งในตอนที่ลอยผ่านตรงที่นานั้น เสียงกบที่เคยร้องดังจะเงียบลงมาเรื่อยๆตามที่ดวงไฟนั้นลอยผ่านมา ซึ่งดวงไฟนั้นก็ลอยมาตรงที่พวกพ่อผมอยู่ พอผมอธิบายให้ฟังว่าท่านไม่รู้ว่าเคยอะไรแต่เหมือนกับไฟหลอดไฟดวงใหญ่สีส้มลูกขนาดเท่าลูกบอลลอยข้ามหัวพวกพ่อผมไป ลักษณะการลอยจะคล้ายๆหิงห้อย คือลอยไปลอยมาขึ้นลงแบบช้าๆ ไปเรื่อยๆซึ่งตอนที่ข้ามหัวพ่อผมนั้นพ่อผมก็จ้องดูตลอดเวลามีแต่ย่ากับลุงข้างบ้านเท่านั้นที่เงียบและก้มหน้าไม่ยอมมอง พอดูลูกไฟนั้นลับตาจนหายเข้าไปในหมู่บ้านที่เห็นไกลๆ พ่อผมท่านจึงก็ได้ถามย่าว่านี่คืออะไร ย่าผมก็ตอบว่ามันคือผีพรายหรือกระสือ มันก็ออกมาหากินกบเขียดเหมือนกัน ย่าก็บอกว่าให้พ่อไปต่อไม่ต้องสนใจอะไร พอผ่านคืนนั้นไปรุ่งขึ้นมีคนมาบอกว่า ในหมูบ้านนั้นที่พ่อผมเห็นว่ามีลูกไฟลอยเข้าไปนั้น มีคนคลอดลูกออกมาแล้วตาย ซึ่งย่าก็บอกว่าสงสัยคงโดนผีพรายกินแน่ๆ
ผีมาดูเหตุการ ตอนเข้าค่าย
สวัดดี พี่ๆ รายการ theshockfm ผมติดตาม รายการ theshock มานาน ล่ คับ เข้าเรื่องเลยนะครับ ตอนนั้น ตอนผม อยู่ ม.3 ตอนนี้ อยู่ ม.6 ล่ะ ได้เจอเหตุการณ์ ขอบอกก่อนนะคับ เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นมาแล้ว 3 ปี วันนั้น เวลาประมาณ 10.30.น ผมกับเพื่อนได้ ลงซื่อ ไปเข้า พุธทบุตร กันที่ จ.ปธุมธานี ไป ค้าง 3 วัน 2 คืน พอไป ถึงก็ สวดมน ทำกิจกรรม อ่ะคืนแรก ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอ กินข้าว เสร็จก็อาบน้ำ เตรียม สวดมน ตอนค่ำ เพื่อนที่จะเข้านอนพร้อมกัน อ่ะคืนแรกผ่านไปด้วยดี ทุกคนหลับกันหมด เพราะเหนื่อยจากการทำกิจกรรม มาทั้งวัน พอ ตก คืนที่ 2 เจอเลยคับ รู้สึกได้เลย ผมกลับเพื่อนยังไม่หลับสนิทนักผม เลือบไปเห็นตรงกระจก เห็นเป็นผู้หญิงผมยาวประมาณหลัง กำลัง เอามือป้องกระจกแล้งมองไปรอบๆๆ ที่พวกผมนอนกันอยู่ ดวงตา ลึกโบ๋ มากน่ากลัว และทีนี้ผมบอกเพื่อนว่า เห็นอย่างที่เราเห็นป่าว มันบอก อืม..... เท่านั้นและครับ รีบคลุ้มโปร่งนอนกันเลย ไม่มีใครก็กล้าคุยกันอีกเลย เรื่องก็มีอยู่แค่นี้ครับ (มีอีกเรื่องหนึ่งเพื่อนเล่าให้ฟัง ไว้เด๊ว จะมาเล่าให้ฟังนะครับ ขอไปรวบรวมรายละเอียดก่อน) ถ้พิม ตก หล่น หรือ ผิดพลาด ขอ อภัยด้วยนะครับ
เจอเปรตตอนเข้าค่ายที่วัด
ตอนผมอยู่ม.4 (ตอนนี้ม.6) โรงเรียนผมไปพาไปเข้าค่ายที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุม พอไปถึงวันแรกไม่ต้องทำอะไรโรงเรียนให้ปล่อยว่างๆ ทำกิจกรรมอีกนิดหน่อย พอถึงวันที่2 ได้เข้าหอประชุมไปฟังเทศ กลุ่มพวกผมจึง โดดกันออกมา ในทีแรกออกมานั่งดูดบุหรี่กันตรง ลานส่วนนอกของหอประชุม ซึ่งไม่มีคน ตอนนั้นออกมากัน ประมาน7-8คน มีผู้หญิง1จึงมีคนนึงพูดขึ้นมาเบื่อว่ะ เล่นซ่อนแอบกันป่าว ผมจึงบอก เออเล่นดิๆ เวลาตอนนั้นประมาณ 4ทุ่ม จึงโอนอยออกกัน เพื่อนผมเป็นคนนึงชื่อ โต๊ด ให้นับถึง200 พวกผมจึงวิ่งกันไปแอบ ตอนนั้นมึนมืดมาก จึงกลัวกัน เลยแอบกันเป็นกลุ่มเลย 555+ โดนทีโดนหมด แต่ผมแอบออกมาซ่อนคนเดียว ไอ่กลุ่มเพื่อนผมที่แอบเป็นกลุ่มโดนโป้งหมด เหลือคนเดียวซึ่งแอบดูอยู่หลังต้นไม้ ไอ่เต๊ดแม่งหาผมไม่เจอแม่งเดินกลับไปนั่ง ไม่ยอมหา -*-(กวนตีนมาก) ผมจึงออกมา พูด เฮ้ย! มึงไม่หากูวะ แม่งบอก ขี้เกียจเล่นละไปเดินกันดีกว่า ก็เลยไปกันหมดเลย จากนั้นจึงเดินไปด้านซ้ายของวัดซึ่งมีเต๊นโรงอาหารอยู่ เดินออกไปทางซอยด้านซ้าย (ซึ่งออกนอกวัดไปแล้ว) เพื่อนผมคนนึงโทรศัพคุยกับแฟนอยู่ ชื่อไอ่ดรีม (มันทะเลาะกับแฟน) พวกผมเดินคุยกันเฮฮาไปเรื่อย จากนั้นผมมองไปด้านหลังมีหมาตัวนึงเดินตามมา น่ารักมาก ผมจึงพูด เฮ่ยมีหมาตามมาด้วยว่ะ พวกผมก็เดินไปเรื่อยเหมือนเดิน รอบบริเวณนอกวัดอ่ะเป็นวงวน พอเดินไปทางที่เป็น ทางจากที่เป็นปูนเริ่ม กลายเป็นดินแดงแล้ว ซึ่งเหมือนแถวบ้านนอก แล้วแอมซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มพูดว่า กลับกันเหอะ พวกผมก็เลยบอก เดินไปก่อนดิ เดียวมันคงวนเข้าวัดล่ะ ก็เลยเดินมากัน (หมาตัวนั้นยังเดินตามมาอยู่) พอเดินไปเรื่อย เป็นทางแยก2ทาง ซ้ายขวา เพื่อนผมบอกว่าขวาดีกว่า วัดอยู่ขวานะเว้ย ผมก็เลย เออๆ! เดินไปผมหันไปมองข้างหลัง หมาตัวนั้นมันหยุดเดินมองมาทางกลุ่มพวกผม แล้วมันก็ วิ่งกลับไป ผมเลยบอกว่า เฮ้ย หมามันกลับบ้านแล้วว่ะ 55+ พอเดินไปเรื่อยๆ มันมืดจนไม่เห็นทางแล้ว เห็นแต่หน้าเพื่อนๆ เพื่อนผมชื่อไอ้อุ่น เดินนำหน้า(เป็นนักเล่นกล้ามตัวอย่างควาย) ผมเดินข้างมันส่วนข้างหลังเป็นเพื่อนๆ เดินไปเรื่อยเห็นไอ่อุ่นหันไปมองทางด้านซ้ายมือของทาง ยกมือมาขวางอกผมไว้ ผมถามว่ามีไรวะ ทั้งกลุ่มหยุดเดิน เงียบกันหมด(ลมหายใจหยุดนิ่ง) แล้วอยู่ๆ ไอ่อุ่นหันมามองหน้าผม จากที่มืดๆ ผมเห็นหน้าไอ่อุ่น กลายเป็นสีเทา (หน้าซีด) แม่งบอก วิ่ง! แต่พูดเงียบๆ จากนั้นไอ่อุ่นวิ่งกลับไปด้านหลัง ซึ่งพวกผมไม่รู้เรื่องอะไร จึกทำไรไม่ถูกวิ่งตามมันไป รองเท้าแตะ กระจุยกระจาย หายหมด ทุกคน แล้วไอ่แอม ซึ่งวิ่งอยู่ด้านหน้าเพื่อนผมชื่อเต้ ไอ่แอมล้มลง(ล้มลงไปนอนเลย) ทั้งกลุ่มจึงวิ่งกลับมาดู มันร้องไห้ แลกยกไม่ขึ้น ทำยังไงก็ยกไม่ขึ้น ขนาดไอ่อุ่นซึ่งแรงยั่งกะควาย ยกไม่ขึ้น ผมจึงถอดพระของผมห้อยไว้ที่แอม จากนั้น จึงยกขึ้นได้ แล้วไอ่โต๊ดมองกลับไปทางเก่า แล้วยกมืดไหว้ ผมจึงไหว้ตาม แล้ววิ่งกลับมาที่ หอนอน ไอ้เหี้ยอุ่นวิ่งอย่างเร็ว หายไปไหนไม่รู้ พอไปส่งแอมแล้วจึงกลับมาที่หอผู้ชาย จึงหาไอ่อุ่น ผมพูด เฮ้ยไอ่อุ่นมึงอยู่ไหนวะ พอเดินเข้าห้องเจอมันนั่งตัวลีบอยู่มุมห้อง หน้าซีดขาวอย่างเห็นได้ชัด กูเดินเข้าไปถามมึงเจอไรวะ มันบอก มึงจำได้ป่ะที่กูยกมืดขวางมึงอ่ะ ผมพูด เออ! กูมองไปทางซ้าย แล้วต้นไม้มันขยับได้ แล้วมันก็ก้าวออกมายืนกลางถนน ไอ่เหี้ยกูเห็นเปรต จากนั้นไอ่โต๊ดพูดขึ้นมาว่า ไอ่สัสมันเป็นผู้หญิงนะเว้ย ผมจึงพูดมึงรู้ได้ไง ไอ่โต๊ดบอกว่า ผมมันยาวลงมาปิดหน้าอก แต่กูไม่กล้ามองหน้ามัน เรื่องนี้จึงได้ยินไปถึงเพื่อนต่างกลุ่มแม่งบอกจิงหรอวะ ทำเป็นไม่เชื่อ แม่งบอกถ้าจริงให้พามันไป ผมจึงพูดมึงก็ไปกันเองดิ มันจึงหาพวกแล้วเดินกันไป ไปประมาณครึ่งชั่วโมงได้ แล้วพวกมันก็กลับมา ตะโกนว่า สัส! ไม่เห็นมีเหี้ยไรเลย พวกผมจึง งง กัน จากนั้น ออกก็เดินออกมาดูดบุหรี่ตรงลาน หน้าหอนอน (ยืนกับไอ่เต้เพื่อนผม) ผมมองไปตรงเต๊นโรงอาหาร สิ่งที่ผมเห็นคือ เงาสีดำ สูงเท่าหอประชุม ตัวเป็นเหมือนแท่ง เป็นแท่ง ก้าวข้ามเต๊น โรงอาหาร ผมจึงดับบุหรี่ถามไอ่เต้ มึงเห็นป่ะ ไอ่เต้บอกเข้าห้องเหอะ จากนั้นจึงเข้านอนกัน พอเช้า อีกวันพวกผมจึงพูดกับแอม แอม บอก จำได้ป่ะที่เราชวนกลับตั้งแต่ทางแยกแล้ว เราเห็นเงาดำๆเดินตาม มาทางป่าด้านข้างอ่ะ ผมบอก จิงป่ะเนี่ย! แล้วแอมก็พูดขึ้นมาว่า มันเป็นผู้หญิงนะ(ซึ่งตรงกับไอ่โต๊ด) แล้วไอ่โต๊ดนั่งอยู่ข้างๆ ทำเป็นมอง แบบไม่เชื่อ แอมบอกกูเห็นมันผมยาวลงมา แต่ไม่เห็นหน้า แล้วเรื่องนี้ แม่งไปถึงพวกอาจารย์ ได้ไงไม่รู้ พวกปากหมาแม่งเยอะ พวกผมจึงโดนเรียกไป คุยกับเจ้าอาวาส ของวัด เขาจึงทำพิธีปัดรังควาน ให้ และถามเรื่องราว เขาบอกไปแถวนั้นน่ะ ไม่เจอน่ะแปลก แถวนั้นเป็นดงต้นตาลหนุ่ม เป็นสถานที่ ที่พวกหมอผีจากลาว จากเขมร จับเปรตไปเลี้ยงกัน เจ้าอาวาสก็พูดว่า เนี่ยเวลาทำวัดเช้าเสร็จประมาณ ตี4 ก็เดินออกมา ยังเจอยืนอยู่ในเขตวัดเลย ไม่มีหัวด้วย! จากนั้นผมก็กลับไปที่โรงเรียนกลายเป็นเรื่องดังในโรงเรียนเลยล่ะ คงได้ข้อคิดจากเรื่องนี้นะคับ....
ตายไปแล้วแต่ยังไม่รู้ตัว
หลายๆคนยังคงไม่ลืมเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ ถล่มภาคใต้ เมื่อปลายปี 2547
ที่ผ่านมาเหตุการณ์ครั้งนี้นำความสูญเสีย ครั้งยิ่งใหญ่สู่ชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก....นับย้อนไป หลายๆคนคงจะเห็นความร่วมมือจากหลายๆฝ่าย ทั้งการกู้ศพที่หายไป หรือช่วยเหลือชาวบ้านที่ไม่มีที่อยู่...แต่เหตุการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น ณ ชายฝั่งหาดป่าตองก่อนจะมีการสวดส่งวิญญาณ ตอนนั้นเหตุการณ์พึ่งผ่านไปได้ประมาณสัก 1 อาทิตย์ ทางราชการก็ยังไม่หยุดค้นหาผู้สูญหาย ซึ่งส่วนมากทหารและตำรวจที่ถูกเกณฑ์ให้ไปช่วยในกรณีนี่ทั้งสิ้นอาของดิฉันเป็นตำรวจอยู่ที่พังงา ก็ได้รับเลือกให้ไปประจำอยู่ที่ศูนย์ค้นหาผู้สูญหายที่หาดป่าตอง และคืนนั้นได้ไปกางเต้นท์นอนอยู่ที่ริมหาดป่าตอง อาของดิฉันเล่าให้ฟังว่า ไม่รู้ว่านอนหลับไปได้นานแค่ไหนเนื่องจากเหนื่อยจากการค้นหาผู้สูญหายมารู้สึกตัวอีกทีก็ค่าอนข้างดึกแล้ว..เนื่องจาก เต้นท์ที่นอนได้ถูกแรงเขย่าจนเต้นท์สั่นไปทั้งหลัง โคลงเริ่มไหวเหมือนจะพังลงมาแล้ว อาก็นึว่าเพื่อนแกล้ง เลยตะโกนออกไปว่า จะนอนแล้วเหนื่อยนะ ไปไกลๆเลย อะไรประมาณนี้ อาก็พลิกตัวไปอีกข้างหนึ่ง ก็ลืมตาขึ้นมาเห็นเป็นเงา ผู้หญิงกำลังนั่งก่อปราสาททรายอยู่ ก็นึกในใจว่าใครมาเล่นทรายตอนนี้ แต่พอคิดอีกทีนึงก็เริ่มกลัว เพราะว่า คิดได้ว่าไม่น่าจะมีใครมานั่งเล่นแบบนี้ สักพักก็มีความรู้สึกว่าเต้นท์สั่นอีกแล้ว ถึงตอนนี้ก็เริ่มกลัวและจะวิ่งออกไปที่กองกลางเต้นท์ใหญ่...พอออกมาจากเต้นท์ได้เท่านั้นแหล่ะ จะเชื่อหรือไม่เชื่อว่าภาพที่เห็นตรงหน้าอาของดิฉันคือ ภาพของชาวต่างชาติ นับหลายสิบคน กำลังเล่นน้ำทะเลอยู่อย่างสนุกสนาน บางคนก็นอนอาบแดดอยู่เต็มชายหาดเลย อาของดิฉันไม่รอช้า รีบวิ่งไปที่กองกลาง พอหันกลับมาอีกครั้งก็ไม่เห็นใครเลย..............นับว่าเป็นอีกเหตุการณ์หนึง ที่น่าสะพรึงกลัวและน่าสงสารมาก พวกเขาเหล่านั้นยังคงไม่รู้ตัวเองเลยว่าตัวเองตายไปแล้ว ยังคงเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน และไม่รู้ว่าต้องอาบน้ำอยู่ที่แห่งนี้ไปอีกนานแค่ไหนกัน...ไปสู่สุคติเถิด......
ที่ผ่านมาเหตุการณ์ครั้งนี้นำความสูญเสีย ครั้งยิ่งใหญ่สู่ชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก....นับย้อนไป หลายๆคนคงจะเห็นความร่วมมือจากหลายๆฝ่าย ทั้งการกู้ศพที่หายไป หรือช่วยเหลือชาวบ้านที่ไม่มีที่อยู่...แต่เหตุการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น ณ ชายฝั่งหาดป่าตองก่อนจะมีการสวดส่งวิญญาณ ตอนนั้นเหตุการณ์พึ่งผ่านไปได้ประมาณสัก 1 อาทิตย์ ทางราชการก็ยังไม่หยุดค้นหาผู้สูญหาย ซึ่งส่วนมากทหารและตำรวจที่ถูกเกณฑ์ให้ไปช่วยในกรณีนี่ทั้งสิ้นอาของดิฉันเป็นตำรวจอยู่ที่พังงา ก็ได้รับเลือกให้ไปประจำอยู่ที่ศูนย์ค้นหาผู้สูญหายที่หาดป่าตอง และคืนนั้นได้ไปกางเต้นท์นอนอยู่ที่ริมหาดป่าตอง อาของดิฉันเล่าให้ฟังว่า ไม่รู้ว่านอนหลับไปได้นานแค่ไหนเนื่องจากเหนื่อยจากการค้นหาผู้สูญหายมารู้สึกตัวอีกทีก็ค่าอนข้างดึกแล้ว..เนื่องจาก เต้นท์ที่นอนได้ถูกแรงเขย่าจนเต้นท์สั่นไปทั้งหลัง โคลงเริ่มไหวเหมือนจะพังลงมาแล้ว อาก็นึว่าเพื่อนแกล้ง เลยตะโกนออกไปว่า จะนอนแล้วเหนื่อยนะ ไปไกลๆเลย อะไรประมาณนี้ อาก็พลิกตัวไปอีกข้างหนึ่ง ก็ลืมตาขึ้นมาเห็นเป็นเงา ผู้หญิงกำลังนั่งก่อปราสาททรายอยู่ ก็นึกในใจว่าใครมาเล่นทรายตอนนี้ แต่พอคิดอีกทีนึงก็เริ่มกลัว เพราะว่า คิดได้ว่าไม่น่าจะมีใครมานั่งเล่นแบบนี้ สักพักก็มีความรู้สึกว่าเต้นท์สั่นอีกแล้ว ถึงตอนนี้ก็เริ่มกลัวและจะวิ่งออกไปที่กองกลางเต้นท์ใหญ่...พอออกมาจากเต้นท์ได้เท่านั้นแหล่ะ จะเชื่อหรือไม่เชื่อว่าภาพที่เห็นตรงหน้าอาของดิฉันคือ ภาพของชาวต่างชาติ นับหลายสิบคน กำลังเล่นน้ำทะเลอยู่อย่างสนุกสนาน บางคนก็นอนอาบแดดอยู่เต็มชายหาดเลย อาของดิฉันไม่รอช้า รีบวิ่งไปที่กองกลาง พอหันกลับมาอีกครั้งก็ไม่เห็นใครเลย..............นับว่าเป็นอีกเหตุการณ์หนึง ที่น่าสะพรึงกลัวและน่าสงสารมาก พวกเขาเหล่านั้นยังคงไม่รู้ตัวเองเลยว่าตัวเองตายไปแล้ว ยังคงเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน และไม่รู้ว่าต้องอาบน้ำอยู่ที่แห่งนี้ไปอีกนานแค่ไหนกัน...ไปสู่สุคติเถิด......
เขาคือใคร????
สวัสดีพี่ๆชาวThe shock นะคะนู๋มีเรื่องจะเล่าคะเมื่อตอนที่นู๋อยู่ต่างจังหวัดนั้น
จะมีแต่เรื่องผีๆเข้ามาเสมอก้อเขาบอกว่าบ้านนุ้ยนะตอนกลางคืนมักจะมีใครกันไม่รู้มายืนอยู่หน้าบ้านเวลาประมาณตี1-ตี4ทุกคืน
ผู้หญิงคนนั้นไม่มีใครเห็นหน้าเขาเลยมีคนมาถามนู๋ๆก้อไม่รู้จะบอกว่าใครเพราะนู๋ไม่รู้จักจนวันหนึ่งขณะที่นอนอยู่เวลาประมาณตี2เกิดปวดฉี่ขึ้นมาก้อไปเข้าห้องน้ำด้วยอาการที่ตื่นใหม่ตาจะมัวเกิดมองไปที่หน้าบ้านเห็นผู้หญิงอย่างที่เขาบอกกันนู๋รู้สึกขนลุกมาในเวลานั้นเพราะขาขยับไม่ไดเลยและผู้หญิงคนนั้นก้อหายตัวไปเลยไม่เคยเจออีกเลยและทุกคนที่เจอเขาก้อไม่เจออีกเป็นต้นมานู๋ยังงงอยู่นะคะว่าเขาเป็นใครกันหายตัวได้ด้วย
จะมีแต่เรื่องผีๆเข้ามาเสมอก้อเขาบอกว่าบ้านนุ้ยนะตอนกลางคืนมักจะมีใครกันไม่รู้มายืนอยู่หน้าบ้านเวลาประมาณตี1-ตี4ทุกคืน
ผู้หญิงคนนั้นไม่มีใครเห็นหน้าเขาเลยมีคนมาถามนู๋ๆก้อไม่รู้จะบอกว่าใครเพราะนู๋ไม่รู้จักจนวันหนึ่งขณะที่นอนอยู่เวลาประมาณตี2เกิดปวดฉี่ขึ้นมาก้อไปเข้าห้องน้ำด้วยอาการที่ตื่นใหม่ตาจะมัวเกิดมองไปที่หน้าบ้านเห็นผู้หญิงอย่างที่เขาบอกกันนู๋รู้สึกขนลุกมาในเวลานั้นเพราะขาขยับไม่ไดเลยและผู้หญิงคนนั้นก้อหายตัวไปเลยไม่เคยเจออีกเลยและทุกคนที่เจอเขาก้อไม่เจออีกเป็นต้นมานู๋ยังงงอยู่นะคะว่าเขาเป็นใครกันหายตัวได้ด้วย
หน้าต่างห้ามปิด
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อตอนผมอยู่ชั้น ป.6 ในโรงเรียนอนุบาลที่ผมศึกษาอยู่เมื่อหลายปีที่แล้ว ห้องเรียนของผมอยู่ชั้น 3 ของโรงเรียนวันนั้นผมลืมของที่โรงเรียนผมเลยกลับมาเอาของที่ห้องเรียน ผมเห็นหน้าต่างบานหนึ่งไม่ได้ปิด ผมก็ไปปิด และหลังจากนั้นก็เอาของที่ลืมไว้ลงมา ผมกำลังจะออกจากโรงเรียนกลับบ้าน แต่เมื่อผมชะเง้อขึ้นมองที่ห้องก็เห็นหน้าต่างเปิดอีกครั้งทั้งๆที่ผมปิดหน้าต่างแล้วและใส่กลอนแล้วด้วยแต่มันกลับเปิดได้เอง ที่จริงไม่มีคนอยู่แม้แต่พาลโรง ก็กลับบ้านกันหมดแล้ว ผมเลยคิดว่าเป็นผี เพราะผมใส่กลอนไว้แล้วแต่หน้าต่างกลับเปิดได้เองเพราะเมื่อไม่นานมีข่าวแพร่กระจายไปทั่วโรงเรียนว่ามีอาจารย์ท่านหนึ่งเสียชีวิต ตอนมีชีวิตท่านชอบมาเดินตามห้องตอนเย็น ผมเลยคิดว่าเป็นอาจารย์ก็ได้
วิญญาณ..ฝรั่งที่โดนสึนามิ ณ หาดป่าตอง
ตายไปแล้วแต่ยังไม่รู้ตัว
หลายๆคนยังคงไม่ลืมเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ ถล่มภาคใต้ เมื่อปลายปี 2547 ที่ผ่านมาเหตุการณ์ครั้งนี้นำความสูญเสีย ครั้งยิ่งใหญ่สู่ชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก....
นับย้อนไป หลายๆคนคงจะเห็นความร่วมมือจากหลายๆฝ่าย ทั้งการกู้ศพที่หายไป หรือช่วยเหลือชาวบ้านที่ไม่มีที่อยู่...
แต่เหตุการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น ณ ชายฝั่งหาดป่าตอง
ก่อนจะมีการสวดส่งวิญญาณ ตอนนั้นเหตุการณ์พึ่งผ่านไปได้ประมาณสัก 1 อาทิตย์ ทางราชการก็ยังไม่หยุดค้นหาผู้สูญหาย ซึ่งส่วนมากทหารและตำรวจที่ถูกเกณฑ์ให้ไปช่วยในกรณีนี่ทั้งสิ้น
อาของดิฉันเป็นตำรวจอยู่ที่พังงา ก็ได้รับเลือกให้ไปประจำอยู่ที่ศูนย์ค้นหาผู้สูญหายที่หาดป่าตอง และคืนนั้นได้ไปกางเต้นท์นอนอยู่ที่ริมหาดป่าตอง อาของดิฉันเล่าให้ฟังว่า ไม่รู้ว่านอนหลับไปได้นานแค่ไหนเนื่องจากเหนื่อยจากการค้นหาผู้สูญหาย
มารู้สึกตัวอีกทีก็ค่าอนข้างดึกแล้ว..เนื่องจาก เต้นท์ที่นอนได้ถูกแรงเขย่าจนเต้นท์สั่นไปทั้งหลัง โคลงเริ่มไหวเหมือนจะพังลงมาแล้ว อาก็นึว่าเพื่อนแกล้ง เลยตะโกนออกไปว่า จะนอนแล้วเหนื่อยนะ ไปไกลๆเลย อะไรประมาณนี้ อาก็พลิกตัวไปอีกข้างหนึ่ง ก็ลืมตาขึ้นมาเห็นเป็นเงา ผู้หญิงกำลังนั่งก่อปราสาททรายอยู่ ก็นึกในใจว่าใครมาเล่นทรายตอนนี้ แต่พอคิดอีกทีนึงก็เริ่มกลัว เพราะว่า คิดได้ว่าไม่น่าจะมีใครมานั่งเล่นแบบนี้ สักพักก็มีความรู้สึกว่าเต้นท์สั่นอีกแล้ว ถึงตอนนี้ก็เริ่มกลัวและจะวิ่งออกไปที่กองกลางเต้นท์ใหญ่...
พอออกมาจากเต้นท์ได้เท่านั้นแหล่ะ จะเชื่อหรือไม่เชื่อว่าภาพที่เห็นตรงหน้าอาของดิฉันคือ ภาพของชาวต่างชาติ นับหลายสิบคน กำลังเล่นน้ำทะเลอยู่อย่างสนุกสนาน บางคนก็นอนอาบแดดอยู่เต็มชายหาดเลย อาของดิฉันไม่รอช้า รีบวิ่งไปที่กองกลาง พอหันกลับมาอีกครั้งก็ไม่เห็นใครเลย..........
....นับว่าเป็นอีกเหตุการณ์หนึง ที่น่าสะพรึงกลัวและน่าสงสารมาก พวกเขาเหล่านั้นยังคงไม่รู้ตัวเองเลยว่าตัวเองตายไปแล้ว ยังคงเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน และไม่รู้ว่าต้องอาบน้ำอยู่ที่แห่งนี้ไปอีกนานแค่ไหนกัน...ไปสู่สุคติเถิด......
หลายๆคนยังคงไม่ลืมเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ ถล่มภาคใต้ เมื่อปลายปี 2547 ที่ผ่านมาเหตุการณ์ครั้งนี้นำความสูญเสีย ครั้งยิ่งใหญ่สู่ชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก....
นับย้อนไป หลายๆคนคงจะเห็นความร่วมมือจากหลายๆฝ่าย ทั้งการกู้ศพที่หายไป หรือช่วยเหลือชาวบ้านที่ไม่มีที่อยู่...
แต่เหตุการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น ณ ชายฝั่งหาดป่าตอง
ก่อนจะมีการสวดส่งวิญญาณ ตอนนั้นเหตุการณ์พึ่งผ่านไปได้ประมาณสัก 1 อาทิตย์ ทางราชการก็ยังไม่หยุดค้นหาผู้สูญหาย ซึ่งส่วนมากทหารและตำรวจที่ถูกเกณฑ์ให้ไปช่วยในกรณีนี่ทั้งสิ้น
อาของดิฉันเป็นตำรวจอยู่ที่พังงา ก็ได้รับเลือกให้ไปประจำอยู่ที่ศูนย์ค้นหาผู้สูญหายที่หาดป่าตอง และคืนนั้นได้ไปกางเต้นท์นอนอยู่ที่ริมหาดป่าตอง อาของดิฉันเล่าให้ฟังว่า ไม่รู้ว่านอนหลับไปได้นานแค่ไหนเนื่องจากเหนื่อยจากการค้นหาผู้สูญหาย
มารู้สึกตัวอีกทีก็ค่าอนข้างดึกแล้ว..เนื่องจาก เต้นท์ที่นอนได้ถูกแรงเขย่าจนเต้นท์สั่นไปทั้งหลัง โคลงเริ่มไหวเหมือนจะพังลงมาแล้ว อาก็นึว่าเพื่อนแกล้ง เลยตะโกนออกไปว่า จะนอนแล้วเหนื่อยนะ ไปไกลๆเลย อะไรประมาณนี้ อาก็พลิกตัวไปอีกข้างหนึ่ง ก็ลืมตาขึ้นมาเห็นเป็นเงา ผู้หญิงกำลังนั่งก่อปราสาททรายอยู่ ก็นึกในใจว่าใครมาเล่นทรายตอนนี้ แต่พอคิดอีกทีนึงก็เริ่มกลัว เพราะว่า คิดได้ว่าไม่น่าจะมีใครมานั่งเล่นแบบนี้ สักพักก็มีความรู้สึกว่าเต้นท์สั่นอีกแล้ว ถึงตอนนี้ก็เริ่มกลัวและจะวิ่งออกไปที่กองกลางเต้นท์ใหญ่...
พอออกมาจากเต้นท์ได้เท่านั้นแหล่ะ จะเชื่อหรือไม่เชื่อว่าภาพที่เห็นตรงหน้าอาของดิฉันคือ ภาพของชาวต่างชาติ นับหลายสิบคน กำลังเล่นน้ำทะเลอยู่อย่างสนุกสนาน บางคนก็นอนอาบแดดอยู่เต็มชายหาดเลย อาของดิฉันไม่รอช้า รีบวิ่งไปที่กองกลาง พอหันกลับมาอีกครั้งก็ไม่เห็นใครเลย..........
....นับว่าเป็นอีกเหตุการณ์หนึง ที่น่าสะพรึงกลัวและน่าสงสารมาก พวกเขาเหล่านั้นยังคงไม่รู้ตัวเองเลยว่าตัวเองตายไปแล้ว ยังคงเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน และไม่รู้ว่าต้องอาบน้ำอยู่ที่แห่งนี้ไปอีกนานแค่ไหนกัน...ไปสู่สุคติเถิด......
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)