วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ใครกันช่วยเข็น

เรื่องที่จาเล่าเนี่ย เปนเรื่องของคุนน้าที่ได้เจอมากับตัวเองมาเล่าให้ฟังช่วงที่

คุนน้ากำลังเปนวัยรุ่นเนี่ย สมัยก่อนก้ชอบ ขับมอเตอร์ไซด์ซึ่งตามต่างจังหวัดเนี่ยเราก้จาเหนภาพเหล่านี้ ทำกันยิ่งกว่าประเพณีสืบต่อกันมาขับไปนู้นมานี่เหมือนเปนสิ่งที่ขาดไม่ได้ ก้มีอยู่วันนึง คุนน้าเนี่ยขับรถไปหาเพื่อนในหมู่บ้าน แห่งนึงซึ่งไกลจากบ้านตัวเองประมาน เกือบ10กิโล แระทางที่ขับรถผ่านก่อนจาไปถึงหมู่บ้านนั้น

ก้มีแต่ป่าแระก้ทุ่งนา ไม่มีไฟข้างทาง ไม่มีรถวิ่งผ่าน คุนน้าก้ไปถึงบ้านเพื่อนคนนี้ประมานเย็นๆ แระก้ได้นั่งคุยกันจนเกือบจาเที่ยงคืน ก้ขอลากลับก่อนกัวที่บ้านจะเปนห่วง ขามาเนี่ย สว่างไม่คิดอารัย แต่ขากลับเนี่ยสิ่ เกือบเที่ยงคืนแร๊วแน่นอนไม่มีทั้งรถแระคน แน่ๆคุนน้าก้ขับรถมาเรื่อย ไม่รู้เวรกรรมอารัย ฝนดันตกลงมา ทางก้ลื่น แระ

ทางข้างหน้าที่จาต้องผ่านพอดีก้คือ ศาล แระก้ต้นตาลด้วยฝนที่ตกหนักแระทำให้ เหมือนเหนอารัยลางๆ มีผู้ญ คนนึงโบกรถอยู่ตรงศาลนั้นสภาพก้ใส่ชุดนอนเหมือนชุดคลุมท้องยาวๆ ผมยาวปิดใบหน้า เมื่อได้เหนแร๊วก้พยายามตั้งสติอีกทีด้วยความอยากรู้ เวลาที่คนเราเหนอารัยผิดปกติ ก้จาหันไปอีกรอบแต่พอเช็คน้ามฝนที่ตกใส่หน้า ผู้ญคนนั้นก้หายไปแร๊ว .. .

คุนน้าไม่คิดอารัยคิดว่าตัวเองคงตาฝาดไปเอง (พยายามหลอกตัวเอง)จนกะทั่งผ่านศาลนี้ไป รถก้ดับกะทันหัน เกิด อารัยขึ้น ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจ แกพยามยามคิดว่าหัวเทียนบอดหล่ะมั๊งไม่มีเวลามานั่งซ่อมแระ ก้เรยเข็นรถไปเรื่อยๆ สักพักก้รู้สึกเหมือนกับว่า รถมันหนักๆ เหมือนมีใครมานั่งบนเบาะหลัง

คุนน้ารู้ตัวว่ากำลังเจอกับอารัย ก้เรย พูดออกมาว่า "ผมเหนื่อยอยากกลับบ้านแร๊ว ถ้าแถวนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก้ช่วยผมเข็นกลับบ้านอย่างปลอดภัยที"สักพัก ก้เหมือนมีคนช่วยเข็น รถ จนกะทั่งถึงหมู่บ้านที่ทำถนนแร๊วไม่ใช่ทางลูกรัง มีไฟ ข้างทาง

ก้รู้สึกว่าเปนแรงตัวเอง ก้เรยลองสตาร์ทรถดู ปรากฏว่ามานก้ใช้ได้ปกติ ก้เรยรีบขับกลับบ้านไปเรยมารู้อีกทีนึงว่า ศาลตรงที่น้าขับผ่านตรงนั้นเคยมีผู้ญท้อง ผูกคอตาย ใต้ต้นตาล ตรงนั้น แระ ช่วงดึกๆ ก้ไม่มีใครกล้าผ่านไปแถวนั้นเรย..

สักคนเปนคุน หล่ะจายังมีสติพอที่จาเข็นรถไปเรื่อยๆรึเป่า?

ไม่มีความคิดเห็น:

Blog ที่เกียวข้อง